บทที่ 1 หลานหลีเกอ 1
ว่ากันว่าในยุคที่บุรุษเป็นใหญ่ สตรีมีหน้าที่เพียงดูแลบ้านเรือนให้เรียบร้อย และคอยปรนนิบัติสามีผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้น
ยามเด็กเชื่อฟังบิดา ออกเรือนมาเชื่อฟังสามี ครั้นยามแก่ชราให้เชื่อฟังบุตรชาย หลักจำคำสอนของสตรีส่วนใหญ่ก็มีเพียงแค่เท่านี้
ทว่า...สิ่งที่หลานหลีเกอกำลังได้รับอยู่นี้คืออะไร?
“หลีเกอ! ไยลายมือของเจ้าจึงดูคล้ายกับไส้เดือนเยี่ยงนี้?” หลานเหวินเอ่ยถามบุตรสาวเสียงดุ
เด็กน้อยหน้าเหม็นนี่วันๆ เอาแต่กินกับเล่น อายุเข้าห้าหนาวเข้าไปแล้ว แต่ฝีมือการคัดอักษรกลับไม่พัฒนา ดีอยู่บ้างก็ตรงที่นางอ่านหนังสือออก แม้ลายมือจะไม่งดงามนัก แต่อย่างน้อยๆ ก็เรียกได้ว่าพอเป็นคนรู้หนังสือ รู้จักการคำนวณ
ทว่านั่นกลับไม่เพียงพอสำหรับลูกหลานตระกูลบัณฑิต
บรรพบุรุษตระกูลหลานเคยมีตำแหน่งเป็นถึงกุนซือของกองทัพต้าหย่ง รุ่นต่อมาก็ได้เป็นถึงราชครูแห่งแคว้น
แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาล บัดนี้ตระกูลหลานมิใช่ตระกูลกุนซือหรือราชครูผู้มีเกียรติ ทว่าเป็นเพียงตระกูลบัณฑิตธรรมดาๆ ตระกูลหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเพราะหลายสิบปีก่อน แคว้นต้าหย่งเกิดการกบฏ หลายฝักหลายฝ่ายเข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงอำนาจ ท่านปู่ทวดของหลานหลีเกอคาดเดาถึงปัญหายิ่งใหญ่นี้ได้ จึงได้ถอนตัวออกจากการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นทั้งหมด และย้ายคนในตระกูลหลานหลายสิบชีวิตออกมาอยู่ที่นอกเมืองอันหลาง
แม้จะอยู่นอกเมือง ทว่าผืนดินแถบนั้นยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของต้าหย่งอยู่ ปู่ทวดของหลานหลีเกอจึงได้ก่อตั้งสำนักศึกษาขึ้นแห่งหนึ่ง
ด้วยเป็นเพียงสำนักศึกษาเล็กๆ เมื่อครั้งแผ่นดินเกิดการนองเลือด สำนักศึกษาอันเป็นสถานที่มอบความรู้ให้แก่ลูกหลานชาวเมืองแห่งนี้ จึงรอดพ้นจากการถูกกบฏทำลายมาอย่างเฉียดฉิว
กระทั่งราชสำนักจัดการปราบกบฏได้ แผ่นดินต้าหย่งจึงกลับมาสงบสุขร่มเย็นอีกครั้ง แต่กระนั้นท่านปู่ของหลานหลีเกอทำตามคำสั่งเสียของปู่ทวดที่จากไปอย่างเคร่งครัด โดยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในราชสำนัก
ดังนั้นแล้วห้าสิบปีที่ผ่านมา ตระกูลหลานจึงเป็นเพียงตระกูลบัณฑิตธรรมดานอกเมืองหลวงเท่านั้น
“ท่านพ่อ~ หลีเกอทำดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เด็กน้อยอ้วนกลมวัยห้าหนาวว่า ทั้งยังส่งยิ้มแป้นให้ผู้เป็นบิดาจนตาหยี่
“ทำดีที่สุดแล้ว?” หลานเหวินมองหน้าบุตรสาวแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจทิ้ง
บุตรสาวคนรองของเขาคนนี้มีดีอย่างเดียวคือเรื่องกิน เรื่องอื่นนั้นทำได้แต่เพียงถูๆ ไถๆ
วาดภาพรึ?
รูปที่นางวาดได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็นรูปไส้เดือนกระมัง...
การดนตรียิ่งแล้วใหญ่ ให้เอาไม้สองท่อนมาเคาะกับเก้าอี้ยังฟังดูไพเราะกว่าดนตรีที่บุตรสาวเขาเล่น จะผีผา พิณห้าสายหรือเจ็ดสาย หลานหลีเกอก็ล้วนแต่ทำไม่ได้ทั้งสิ้น
กาพย์กลอนคัดอักษรก็อย่างที่เห็น ลายมือหงิกง่อยราวกับไส้เดือน ร่ายกลอนแต่ละที ก็ให้นึกถึงภาพของไส้เดือนที่แดดิ้นยามต้องแสงแดด
“เจ้าค่ะ” เด็กน้อยเอ่ยตอบเสียงใส ก่อนจะเข้าไปวางหน้ากลมๆ ขาวๆ ของตัวเองกับท่อนแขนของผู้เป็นบิดา
“ท่านพ่อ หลีเกอหิวแล้ว” หลานเหวินก้มมองใบหน้าอ้วนกลมนิ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ ออกมา
เอาเถอะ! ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงเด็กน้อยห้าหนาว
“เช่นนั้นก็ไปหามารดาของเจ้าเถิด” หลานเหวินลูบหัวกลมๆ ของบุตรสาวเพียงคนเดียวด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ หลีเกอรักท่านพ่อที่สุด” เด็กน้อยว่าแล้วยิ้มแป้นจากไป
หลานเหวินมองตามร่างเล็กๆ แล้วก็นึกห่วง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป บุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาผู้นี้จะได้แต่งงานดีๆ กับคนอื่นหรือไม่หนอ? ...
ต้องไปดูเงินในคลังเสียหน่อย ว่ามีมากพอให้หลีเกอใช้จ่ายในยามที่ต้องเป็นผกาค้างต้นได้หรือไม่?
แม้จะเป็นเพียงตระกูลบัณฑิต ทว่าการใช้จ่ายตั้งแต่บรรพบุรุษนั้นไม่เคยฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง เรียกได้ว่าใช้ชีวิตมาอย่างประหยัดถึงขั้นมัธยัสถ์ ด้วยเพราะหากเกิดภาวะฉุกเฉินเช่นภาวะสงคราม การมีเงินทองมากหน่อยนั้นย่อมเป็นเรื่องดี
ทว่าหากมีเงินทองแล้วโอ้อวด ก็จะนำมาซึ่งความพังพินาศได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้นสิ่งที่หลานเหวินมีจึงเป็นเพียงหีบโลหะขนาดกลางหนึ่งใบ และภายในนั้นมีตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงทองอยู่หลายมัด ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกห่อไว้ด้วยหนังสัตว์อย่างดีเพื่อกันความชื้น รวมไปถึงโฉนดที่ดินในเมืองอันหลางและเมืองข้างเคียงอีกราวสิบห้าแผ่น
ยัง...ยังไม่พอ หลีเกอกินเก่งถึงเพียงนั้น ตั๋วเงินไม่กี่ล้านตำลึงทองจะพอให้นางอยู่รอดได้อย่างไร?
หลานเหวินมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะจัดการเก็บหีบโลหะนั้นไว้ในช่องลับใต้เตียงอย่างมิดชิด หีบชนิดนี้ดีมากตรงที่เป็นโลหะ กันน้ำกันปลวกได้อย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นคือไฟไม่ไหม้ ไม่อย่างนั้นสมบัติตั้งแต่สมัยปู่ทวดชิ้นนี้คงไม่หลงเหลือรอดมาถึงมือของเขา
จะทำอย่างไรดี...ต้องคิดวิธีหาเงินเพิ่มเสียแล้ว