บทที่ 3 ตัวตายตัวแทน 1.2
“ถ้าพี่ดีขึ้นกว่านี้ พี่จะมารับพวกเราไปอยู่ด้วย จะได้พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งหนึ่ง”
มันจะมีวันนั้นหรือ วันที่อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา รัฐภาคย์คงไม่ยอมปล่อยให้ครอบครัวของเขาอยู่อย่างมีความสุขแน่นอน ศวิชญ์ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปสมัครงานที่เหมืองยังใช้ชื่อปลอมนามสุกลปลอม คอยปิดปังตัวเองด้วยการสวมหมวก อำพรางตัวเองไม่ให้ลูกน้องของรัฐภาคย์ที่ออกตามหาเขาได้เจอะเจอ ไม่เช่นนั้นชีวิตของเขาต้องดับสูญเป็นแน่
“ค่ะพี่โหน่ง ลูกหว้าจะรอวันนั้น”
หญิงสาวพูดปลอบใจตัวเองและพี่ชาย รู้เต็มอกว่าไม่มีวันนั้นแน่นอน ถ้าหากรัฐภาคย์ยังไม่รู้จักคำว่าให้อภัยและปล่อยวางความทุกข์ทั้งหมดที่อยู่ในตัวของเขา ลลิลมองหน้าพี่ชายนิ่ง สีหน้าของพี่ชายคล้ายกับว่ามีเรื่องในใจ แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่โหน่ง?” หญิงสาวตัดสินใจถาม
“คือว่า...คือว่า”
เป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งของศวิชญ์ อีกด้านเขาคือลูกของแม่ เป็นพี่ชายของน้องสาวที่น่ารักสองคน อีกด้านเขาเป็นพ่อของลูกเป็นสามีของนิรมล เขาจะเลือกให้ความสำคัญกับสิ่งไหนมากกว่า เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจยากมากที่สุด ทว่าเขาจำเป็นต้องตัดสินใจ
“มีอะไรคะพี่โหน่ง?” น้องสาวผู้แสนดีถามย้ำอีกครั้ง
“คือว่าพี่อยากได้เงินสักสามหมื่น ลูกหว้าพอจะหาให้พี่ได้มั้ย?”
ศวิชญ์ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากน้องสาว ดวงตากลมโตใสซื่อเบิกกว้าง เงินสามหมื่นถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย แต่ว่าตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ไกลเกินตัวเธอมากที่สุด ลำพังเงินเดือนที่หญิงสาวทำอยู่ทุกวันนี้เจ็ดพันบาท ยังไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ดีที่ว่าค่าที่อยู่ค่ากินทั้งหมด รัฐภาคย์เป็นคนออกให้โดยการให้น้องสาวไปรับปิ่นโตที่ตึกใหญ่สามมื้อ รวมทั้งค่าเล่าเรียนของน้องสาว แต่สิ่งที่เขาขอเป็นการแลกเปลี่ยนนั้น คือร่างกายของเธอ
“พี่จะเอาไปทำอะไรพี่โหน่งตั้งสามหมื่น?” หญิงสาวอดถามไม่ได้
“คือว่าลูกชายของพี่ไม่ค่อยสบาย ต้องใช้เงินมาก หมอบอกว่าต้องใช้เงินสามหมื่นเป็นค่ารักษา จะใช้บัตรสามสิบบาทก็ไม่ได้ เพราะถ้าใช้รัฐต้องรู้แน่ๆ ว่าพี่อยู่ที่ไหน พี่จนปัญญาจริงๆ ถึงได้ขึ้นมาขอความช่วยเหลือลูกหว้า รู้ทั้งรู้ว่าลูกหว้าไม่มี”
ศวิชญ์ปดออกไปคำโต ลูกชายของเขาไม่ได้ป่วย ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แต่ที่เขาอยากได้เงินสามหมื่นบาท เป็นเพราะนิรมลต้องการซื้อของใช้อำนวยความสะดวกในบ้าน อย่างเช่นโทรทัศน์ ชุดเครื่องเสียง และอีกหลายรายการที่อยากได้ นิรมลข่มขู่เขาว่าถ้าไปขอเงินน้องสาวไม่ได้ เธอจะหนีเขาไปให้ไกลแสนไกล ความรักที่มีต่อนิรมลทำให้เขาละความกลัวตาย ขึ้นมาหาน้องสาวที่กรุงเทพฯ ดักรอดูความเคลื่อนไหวของลลิลตั้งแต่เมื่อวาน พอรู้ว่า
ลลิลต้องมาขึ้นรถประจำทางที่ป้ายนี้ จึงมาดักรอและขึ้นตามน้องสาวมาโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัว
ลลิลหลังจากที่ได้ฟังเหตุผลของพี่ชาย ทำให้เธอต้องคิดหนักอีกรอบ หลานชายไม่สบายหรือนี่ มิน่าล่ะ ศวิชญ์ถึงกล้าเสี่ยงขึ้นมาที่นี่ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนของรัฐภาคย์มีมากกว่าสับปะรดเสียอีก เพราะความรักลูกนี่เอง
“พี่โหน่งต้องการใช้เงินวันไหนคะ?”
“พี่อยากได้ไม่เกินพรุ่งนี้เย็น” ลลิลอึ้งไปอีกรอบหลังจากที่ได้ยินระยะเวลาที่พี่ชายกำหนด
“แล้วถ้าลูกหว้าหาได้ จะเอาไปให้พี่โหน่งที่ไหนคะ?”
“พรุ่งนี้พี่จะรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ฝั่งขากลับ ลูกหว้าเอาเงินใส่ถุงทำทีเป็นทิ้งขยะ แล้วพี่จะทำตัวเป็นคนเก็บของเก่า ไปรื้อหาของในถังขยะแค่นี้เอง”
วิธีง่ายๆ ที่ศวิชญ์เอ่ยบอก สร้างความหนักใจให้กับลลิลไม่น้อย ตอนให้เงินไม่ยากเท่ากับตอนที่เธอจะหาเงินสามหมื่นมาให้พี่ชายนี่แหละ คงหนีไม่พ้นต้องของรัฐภาคย์เหมือนเดิม และรู้ด้วยว่าเขาจะขออะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน
“ค่ะพี่โหน่ง...ตกลงตามนี้ ลูกหว้าจะมาถึงป้ายรถเมล์ไม่เกินหกโมงสิบห้านะคะ” เธอเอ่ยบอกระยะเวลากลับบ้านโดยประมาณ
“ขอบใจมากนะ พี่ไปก่อนนะ พรุ่งนี้พี่จะไปรอที่ป้ายรถเมล์นะ” ชายหนุ่มลุกเดินจากม้านั่งทันทีที่พูดจบ ปล่อยให้น้องสาวจมดิ่งกับความคิดอยู่อย่างเดียวดาย
“ว่าไงพี่โหน่งดีมั้ย?”
นิรมลเอ่ยถามทันทีที่เห็นร่างของสามีเดินออกมาจากสวนสาธารณะ เพราะเธอขึ้นรถประจำทางพร้อมกับสามี ลงรถพร้อมกัน แต่ไม่ได้เดินตามสองพี่น้องเข้าไปในสวนสาธารณะ เพียงแต่นั่งอยู่ที่หน้าลานน้ำพุ รอเวลาที่สามีจะออกมา
“พรุ่งนี้เย็นได้เงินแน่นอน” นิรมลยิ้มเต็มใบหน้าด้วยความดีใจ ไม่เสียแรงที่ทุ่มทุนแต่งกายเป็นผู้ชาย เพื่อหลบสายตาคนของรัฐภาคย์
“พี่โหน่งน่ารักที่สุดเลย กลับห้องพักนะคะ เดี๋ยวนีน่าจะให้รางวัลคนเก่งเสียหน่อย”
นิรมลใช้ร่างกายทำให้ศวิชญ์หลงมัวเมาในเกมกามที่เธอปรนนิบัติให้เขา หลงลืมความถูกผิดที่ตัวเองได้ทำลงไป เป็นเพราะเขารักนิรมลมากเกินไปนั่นเอง บดบังความรักที่มีต่อน้องสาวจนสิ้น
...........................
ลลิลเดินแกมวิ่งเข้ามาในอาคารอีทีเค กรุ๊ป เนื่องจากเวลานี้ได้เป็นเวลาเกือบสิบนาฬิกาแล้ว ซึ่งเลยเวลาเข้าทำงานมาร่วมสองชั่วโมง ตลอดทางลลิลพยายามนึกหาข้ออ้างที่เธอมาสายในครั้งนี้ แต่ทว่าไม่มีเหตุผลใดเหมาะสมเอาเสียเลย งานนี้ต้องตายแน่ๆ
“ไปไหนมาคุณลูกหว้า?...คุณรัฐทิ้งระเบิดใส่พี่หลายลูกแล้วนะ”
สิทธิพลลูกน้องคนสนิทเอ่ยถามลลิลทันทีที่เห็นหน้า ตั้งแต่รัฐภาคย์มาถึงที่ทำงานอย่างแรกที่เขาต้องได้คือกาแฟและกาแฟที่ชงให้เขาทุกเช้าต้องเป็นฝีมือของลลิลเท่านั้น แม้ว่าเลขาฯ หน้าห้องจะชงให้สูตรเดียวกันกับลลิล แต่ก็ยังไม่ใช่รสกาแฟที่รัฐภาคย์ต้องการ
“ลูกหว้าไปธุระมาค่ะ ไม่ได้บอกพี่รัฐไว้ล่วงหน้า” หญิงสาวตอบเสียงอ่อย
“คุณรัฐอารมณ์ไม่ดีอย่างแรงนะลูกหว้า ทำใจหน่อยนะ” สิทธิพลพูดได้เท่านี้ แม้ว่าจะสงสารหญิงตรงหน้ามากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย
“ค่ะพี่เอ็ม”
ลลิลรับคำเสียงเนือย เดินเข้าไปด้านหลังซึ่งเป็นห้องชงชากาแฟและเครื่องดื่ม สำหรับรัฐภาคย์และรับรองแขกเท่านั้น ส่วนของพนักงานจะอยู่อีกห้องหนึ่ง หญิงสาวใช้เวลาเพียงห้านาทีสำหรับชงกาแฟรสโปรดของชายเจ้าอารมณ์ รวบรวมพลังกายพลังใจเตรียมรับมือกับรัฐภาคย์
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่บานประตูห้องจะเปิดออก รัฐภาคย์เหลือบตามองผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยสายตาที่แข็งกร้าว ดวงตาของเขานั้นมีแสงสีแดงเรืองรองดูน่ากลัว หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปด้านใน รับรู้ถึงรังสีอำมหิตที่กระทบกับเรือนกายจนร้อนวูบวาบ เหงื่อตกแม้ว่าอากาศภายในห้องจะเย็นฉ่ำ
“กาแฟค่ะพี่...เอ๊ย!!...คุณรัฐ”
หญิงสาวเกือบหลุดปากเรียกพี่ คำที่เขาต้องห้าม รัฐภาคย์ไม่พูดอะไรสักคำ ปัดกาแฟที่อยู่บนโต๊ะลงไปกระแทกกับพื้นพรม น้ำสีดำของกาแฟไหลนองพื้นไปหมด ลลิลตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่เขาทำ นี่คือการแสดงความไม่พอใจอีกอย่างหนึ่งของเขา
“ลูกหว้าขอโทษค่ะที่มาช้า พอดีเมื่อเช้าอ้อบอกลูกหว้าว่า อาจารย์ต้องการพบผู้ปกครอง ลูกหว้าก็เลยต้องไปที่มหาวิทยาลัยของอ้อค่ะ ลูกหว้าผิดเองที่ไม่ได้โทรฯ มาบอกคุณรัฐก่อน”
หญิงสาวคิดว่าคำแก้ตัวข้อนี้น่าจะดีที่สุด จากทั้งหมดร้อยเหตุผลที่เธอคิดไว้ เธอทรุดกายลงเก็บถ้วยกาแฟและจานรองที่หกเกลื่อนพื้น มือไม้สั่น
“........” เขายังคงเงียบต่อไป ทำให้เธอลังเลที่จะเอ่ยปากเรื่องเงิน ทว่ามันเป็นทางเดียวที่ลลิลนึกออก
“คุณรัฐคะ...ลูกหว้าอยากจะขอ...ขอเงินหน่อยค่ะ” เธอกลั้นใจพูดออกไป ปฏิกิริยาของรัฐภาคย์ยังคงเหมือนเดิม นิ่งเฉยแม้ว่าในใจไม่พอใจที่เธอเข้าทำงานสาย