บทนำ
ดอกหญ้ากลางทะเลทราย
แม้อากาศรอบตัวจะเย็นชื้นด้วยสายฝนที่ตกพรำมาตั้งแต่บ่าย แต่หัวใจของขวัญชนกกลับรุ่มร้อน ลำคอแห้งผากดังเดินทางอยู่กลางทะเลทราย เมื่อได้ฟังคำพูดของหญิงชรา
“คุณเกื้อขายไร่นี้ไปแล้วนะ ป้ากับลุงอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน คุณขวัญเองก็ต้องย้ายออกเหมือนกัน เพราะเจ้าของใหม่เขากลับมาแล้ว”
ถ้อยคำนั้นทำให้กระบอกตาของหญิงสาวร้อนผ่าวขึ้น หัวใจเหมือนถูกกดแน่นเมื่อนึกถึงพ่อผู้ให้กำเนิด เรียวปากสวยขยับเผยอ แล้วหลุดเสียงถามแผ่วเบาด้วยยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ขายไร่นี้หรือคะ ขวัญคิดว่าคุณเกื้อจะขายแค่ฟาร์มไก่เสียอีก”
“ตอนแรกจะเก็บไร่เอาไว้ แต่เห็นว่าขายฟาร์มไก่ไปก็ยังไม่พอใช้หนี้ แล้วคุณเกื้อก็เหนื่อยจนไม่อยากทำต่ออีก เลยตัดสินใจขายทั้งหมดแล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านเดิมของคุณหวานที่กระบี่ ส่วนคุณหนูทั้งสองคนก็เรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ เหมือนเดิม พวกเขาคงไม่กลับมาที่นี่อีก”
“แล้วป้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไรคะ”
“ตอนเที่ยง” ป้ากิ้มตอบแล้วถอนหายใจ “คนจากบ้านโน้นขับรถเข้ามาในไร่กันเป็นขบวน พวกเขาเข้ามาถึงบ้านใหญ่ แล้วงัดประตูเข้าไปดูข้าวของในบ้าน ป้าเห็นก็ตกใจ คิดจะเข้าไปห้าม แต่ลุงทิวบอกว่าพวกนั้นเป็นคนของคุณรัน”
“คุณรันหรือ…เขาเป็นใครกันคะ”
“ลูกชายคนเล็กของท่านมงคล เขาเป็นเจ้าของคนใหม่ของที่นี่ เขาไปอยู่เมืองนอกตั้งหลายปี ป้ารู้ว่าเขากลับมาบ้านทุกปี แต่ป้าก็ไม่คุ้นหน้าเขาหรอกนะ เพราะเคยเห็นครั้งสุดท้ายก็ตอนเขาเป็นวัยรุ่น ท่านมงคลส่งลูกชายทั้งสองคนไปอยู่เมืองนอกเป็นสิบปี ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มใหญ่กันแล้ว”
สมองของขวัญชนกอื้ออึงไปหมด หล่อนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อกวาดสายตามองรอบตัวก็เห็นความมืดครึ้มที่โรยลงมาปกคลุมจนทั่วแล้ว พลันความหดหู่และใจหายก็เข้ามาครอบงำจิตใจที่แสนอ้างว้าง
“แล้วป้ากับลุงจะย้ายไปอยู่ที่ไหนคะ”
“ป้ามีที่ดินอยู่ที่ชุมพรแปลงหนึ่ง ปล่อยทิ้งไว้นานแล้ว ตอนบ่ายก็โทร.ไปถามหลานสาว เขาบอกว่าแถวนั้นน้ำประปาและไฟฟ้าเข้าถึงแล้ว ป้าเลยตั้งใจจะไปอยู่กับลุงที่นั่น แล้วปลูกผักปลูกหญ้าไปตามประสา คงจะพอประทังชีวิตในตอนบั้นปลายต่อไปได้”
เมื่อรู้ว่าลุงกับป้าที่ดูแลหล่อนมาตั้งแต่เด็กยังมีทางไป หัวใจของขวัญชนกก็เบาโล่งขึ้น เวลานี้หล่อนไม่ห่วงตัวเองนัก เพราะอายุยังไม่มาก ร่างกายของหล่อนยังแข็งแรงดี จึงเชื่อมั่นว่าจะหาลู่ทางได้
ส่วนป้ากิ้ม เมื่อเห็นว่าลูกสาวอีกคนของเจ้านายที่ถูกปล่อยทิ้งไว้กับนางและคนงานในไร่นิ่งเงียบไปจึงหันมอง พลันความกังวลใจก็ทอขึ้นมาในดวงตาของหญิงชรา
“ตอนนี้คนงานในไร่เหลือไม่กี่คนแล้ว หัวหน้าคนงานก็เก็บข้าวของออกจากบ้านพักไปตั้งแต่เมื่อวาน เขาหัวเสียใหญ่เลย เพราะยังไม่ได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้าย เห็นว่าโทร.ติดต่อคุณเกื้อไม่ได้ด้วย”
“ขวัญสงสารเขา แต่ขวัญช่วยอะไรเขาไม่ได้”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ พวกคนงานเข้าใจคุณขวัญดี คุณขวัญเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับพวกเรานั่นแหละ ที่สำคัญคือคุณขวัญเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ต่อจากนี้จะไปอยู่ที่ไหน แล้วจะอยู่ยังไง ป้าก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้”
“ขวัญ เอ่อ...คิดว่าจะยังอยู่ที่นี่ไปก่อนสักระยะ เพราะงานที่ขวัญไปทำ เงินเดือนยังไม่ออกเลยค่ะ”
“อะไรนะ! นี่เข้าเดือนที่สามแล้ว ทำไมคุณขวัญถึงยังไม่ได้เงินเดือนล่ะ”
“ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบอกให้รอ เพราะเอกสารยังไม่เรียบร้อย เจ้านายยังไม่เซ็นอนุมัติ ขวัญเลยไม่รู้จะทำยังไงค่ะ”
“อ้าว! แล้วทีรับเข้าทำงาน ทำไมขั้นตอนถึงไม่ยุ่งยากแบบนี้ แต่พอทำงานไปแล้วกลับมาบอกว่าเจ้านายยังไม่อนุมัติ เกิดจะทำให้เป็นเรื่องซับซ้อนขึ้นมา มันฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย”
ถึงไม่รู้กฎระเบียบของบริษัทขนาดใหญ่ เพียงแค่ใช้ความรู้สึกวัด ป้ากิ้มก็รู้ว่าโรงงานแห่งนั้นส่อแววไม่ตรงไปตรงมากับขวัญชนกเสียแล้ว
“ถ้าเป็นอย่างนี้ก็อย่าไปทำมันเลยค่ะ ถ้าเกิดเงินเดือนไม่ออก เราไม่ต้องทำงานให้เขาฟรีๆ หรือ ยังไงคนเราก็ต้องกินต้องใช้ คุณขวัญขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปทำงานทุกวันก็ต้องใช้เงินเติมน้ำมันรถ แล้วยังมีค่ากินและค่าเสื้อผ้าอีก นานไปจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่าย”
“ขวัญคิดจะหางานอื่นทำค่ะ ถ้าป้าไม่อยู่ที่นี่แล้ว ขวัญอาจไปหางานทำที่กรุงเทพฯ”
“แบบนั้นป้าก็ยิ่งห่วงคุณขวัญ กลัวว่ามันจะยิ่งลำบากกว่าเดิม” หญิงชรารำพัน ก่อนจะบอกอย่างตัดสินใจได้ “เอาอย่างนี้แล้วกันคุณขวัญค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำไป แต่สบายใจได้เถอะว่าป้ากับลุงไม่ทิ้งให้คุณขวัญต้องดิ้นรนคนเดียวแน่นอน”
น้ำใสๆ เอ่อท้นดวงตา จากเดิมที่นึกห่วงว่าลุงทิวกับป้ากิ้มอาจไม่มีทางไป แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งสองคนยังคอยห่วงใยและคิดจะดูแลหล่อนต่อไปอีก