4
Chapter 4
“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดมาก” เขาโยกศีรษะของเธอไปมา เอ็นดูอัญชิตาเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เพราะเธอกตัญญูและไม่เคยทอดทิ้งบิดาที่พิการ แถมยังต้องทำงานส่งเสียตัวเองเรียนอีก
“บางทีอัญก็นึกน้อยใจนะคะ อยากเกิดมารวยเหมือนคนอื่นเขาบ้าง”
เธอทำงานสารพัดก็ยังไม่รวยสักที ถ้ารวยและมีเงินเยอะๆ คงจะดูแลบิดาที่พิการได้ดีกว่านี้ และมีเงินเรียนสูงๆ เท่าที่เธอจะเรียนได้
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้ รวยจนไม่สำคัญเท่ากับว่าเรามีความสุขกับชีวิตไหม ถ้ารวยแล้วเป็นทุกข์ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ” พัทท์ตอบไปตามที่คิด
“อัญสัญญาค่ะว่าต่อจากนี้ไปจะไม่น้อยใจในโชคชะตาของตัวเองอีกแล้ว แล้วก็จะทำตัวเองให้มีความสุขและขยันทำงานให้มากๆ ค่ะ”
“รักตัวเองให้มากๆ นะครับ เพราะอัญมีคนที่ต้องดูแลอีกทั้งคน หากอัญไม่อยู่แล้ว พ่อของอัญจะอยู่กับใครล่ะครับ ทำงานก็พอประมาณ หักโหมเกินไปเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะลำบาก” เธอตัวคนเดียว เขาเข้าใจความจำเป็นของเธอดี
“ขอบคุณพี่พัทท์มากค่ะ”
“อัญทำทุกอย่างดีที่สุดแล้วครับ แต่ถ้ามันไม่ดีอย่างที่คิดก็อย่าไปเสียใจกับมันเลย คิดเสียว่าประสบการณ์ชีวิต”
“อัญมั่นใจในตัวพี่พัทธ์นะคะ ว่าพี่พัทท์จะทำทุกอย่างออกมาได้ดี อัญคงไม่โดนแหกอกเสียก่อน” พัทท์ลูบศีรษะของเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู
หลังจากที่พัทท์กลับไปแล้ว อัญชิตาก็เดินไปหาบิดา
“คุณพ่อขา เป็นยังไงบ้างคะ”
“พัทท์ไปแล้วเหรอลูก”
“ไปแล้วค่ะ”
“เป็นยังไงบ้าง ทำงานเหนื่อยไหมลูก” ดนุพรเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ แค่นี้เองอัญไหว จำได้ว่าตอนเด็กๆ เรามีกันแค่สองคนพ่อลูก คุณพ่อดูแลหนูดีมากๆ หนูก็ต้องดูแลคุณพ่อให้ดียิ่งกว่าที่คุณพ่อดูแลหนู ถ้าไม่เพราะอุบัติเหตุวันนั้น คุณพ่อก็คงไม่เป็นแบบนี้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย บิดารักเธอมาก ดูแลเธออย่างดี ท่านขยันทำงาน ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุ ก็คงดีกว่านี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วเธอก็ไม่อยากโทษอะไรทั้งนั้น อยากทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพียงเท่านั้น
“พ่อขอให้ลูกจงประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง ถ้าเหนื่อยก็พักนะ เอาเท่าที่ไหว เจ็บป่วยขึ้นมาจะลำบาก พ่อเป็นห่วง สุขภาพของลูกสำคัญที่สุด”
“อัญสัญญาค่ะว่าจะรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี คุณพ่อไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะ” ที่เธอยอมช่วยพัทท์เพราะพินท์สุดาเป็นเพื่อนที่ดี คนอื่นรังเกียจเธอ แต่พินท์สุดาไม่เคยมีนิสัยแบบนั้น ช่วงนี้ก็คงต้องให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปก่อน จริงๆ พัทท์กับพินท์สุดาชอบแกล้งกันไปมาแรงๆ แบบนี้มานานแล้ว เป็นความรักที่เจ็บๆ คันๆ ยังไงก็ไม่รู้ในความคิดของอัญชิตา สำหรับเธอแล้วคนเรารักกัน ชอบกันก็น่าจะคุยกันตรงๆ ให้มาทำอะไรอ้อมๆ แบบนี้เธอไม่ค่อยเข้าใจ เธอชอบคนตรงไปตรงมามากกว่า
“อัญจะต้องเข้มแข็งนะลูก ไม่ว่าใครจะดูถูกเราเท่าไหร่ก็จงอย่าท้อแท้สิ้นหวังหรือดูถูกตัวเองตามพวกเขา คนที่เขาดูถูกเราก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา แค่เราอย่าทำแบบเขาก็พอแล้ว” ดนุพรสอนสั่งลูกสาว แม้จะเดินไม่ได้ แต่เขาก็พยายามทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ตัวเองเป็นภาระลูก เขาเข็นรถไปหุงข้าวทำกับข้าวง่ายๆ ให้ลูกทุกวัน กวาดบ้านทำความสะอาดบ้าน รวมถึงสานตะกร้าเพื่อนำไปขาย ตัวของเขาพิการแต่ใจของเขาไม่พิการ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป อย่ามัวแต่ท้อแท้สิ้นหวังอยู่กับสิ่งที่เป็น แต่จงทำทุกอย่างให้มันดีที่สุดในตอนนี้ ผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไรเขาก็ยินดียอมรับมัน
“ค่ะคุณพ่อ หนูจะจำคำของคุณพ่อเอาไว้ให้ขึ้นใจ”
“เราอย่าคิดว่าตัวเองจน แต่ให้คิดว่าเราจะทำยังไงให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน ชีวิตต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้านะลูก ทุกวันเราก็ต้องแก้ปัญหาที่พบเจอ คิดเสียว่ามันสนุกและท้าทาย ถ้าเราผ่านมันไปได้ในแต่ละวันแสดงว่าเราเก่ง คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้สามวัน คือเมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้ แต่บางคนอาจจะไม่มีพรุ่งนี้ พ่อถึงบอกลูกเสมอว่าวันนี้เราก็ทำมันให้ดีที่สุดตอนที่เรายังมีลมหายใจอยู่ จะได้ไม่เสียใจหากวันพรุ่งนี้ไม่ตื่นขึ้นมา”
“ค่ะคุณพ่อ”
“การคิดถึงความตายไม่ใช่เรื่องอัปมงคลหรือสิ่งไม่ดีนะอัญ แต่เป็นการ ทำให้เราไม่ประมาทกับชีวิต เราจะได้มีสติคิดว่าจะทำอะไรบ้างให้ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะพรุ่งนี้เราอาจจะไม่ตื่นและไม่มีลมหายใจอีกต่อไป ชีวิตของคนเราไม่แน่นอนนี่คือความจริงแท้แน่นอน"
“อัญจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดค่ะ แม้จะมีเรื่องเลวร้ายอะไรเข้ามา อัญก็จะไม่ท้อถอยและจะผ่านมันไปให้ได้ค่ะ”
“ไม่ต้องเครียดนะลูก ค่อยๆ ทำไป ค่อยๆ แก้ปัญหาไป ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“หนูอยากจะขยันทำงานและดูแลคุณพ่อให้ดีค่ะ” เธอคิดแบบนั้นอยู่เสมอเลยขยันทำงานทุกอย่าง ไม่สนใจคำดูถูกเหยียดหยามแต่เปลี่ยนคำดูถูกเป็นแรงฮึดสู้
“พ่อภูมิใจในตัวอัญที่สุดเลยลูก อัญควรพักผ่อนบ้าง เท่านี้อัญก็ดูแลพ่อดีที่สุดแล้วนะ พ่อภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้ของพ่อเสมอ และฝากขอบคุณพัทท์มากๆ ที่เขาให้ลูกทำงานที่บริษัทของเขา”
“พี่พัทท์ก็ฝากเยี่ยมคุณพ่อด้วยค่ะ”
“อัญ” ดนุกรเรียกบุตรสาวเสียงหนัก
“คะ? คุณพ่อมีอะไรคะ”
“บุญคุณต้องทดแทนนะลูก แม้เขาจะให้ข้าวกินแค่หนึ่งมื้อก็ถือว่าเป็นบุญคุณ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ตอบแทนเขาไป จะได้ไม่เป็นหนี้บุญคุณให้เขามาทวงเอาได้”
“อัญรู้ค่ะพ่อ อัญจำที่พ่อสอนได้ดีไม่เคยลืม”
“ดีแล้วลูก” ดนุพรเห็นความเศร้าในแววตาของบุตรสาวก็เข้าใจ แต่เขาจะไม่ถามเซ้าซี้ อัญชิตาเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น ถ้าไม่ถึงที่สุดก็จะไม่พูด
อัญชิตากดโทร. หาพินท์สุดา ปลายสายรับสายหลังจากรอสายเพียงครู่
“มีอะไร” น้ำเสียงปลายสายทำให้อัญชิตาใจแป้วเล็กน้อย เธอไม่ได้โกรธเคืองอีกฝ่ายแต่อย่างใด จริงๆ แล้วการได้แกล้งคนปากแข็งแบบพินท์สุดาก็ทำให้เธอรู้สึกทั้งทุกข์ทั้งสุขในเวลาเดียวกัน แต่จุดหมายคืออยากให้เพื่อนซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองมากๆ
“ใจเย็นๆ นะพินท์” อัญชิตาพยายามใจเย็นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
“ฉันกับเธอไม่ได้เป็นเพื่อนรักกันแล้ว” พินท์สุดาตอกกลับ จะให้เธอใจเย็นกับคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างนั้นเหรอ
“ฉันจะไปหาเธอ”
“มาหาทำไม”
“มีเรื่องจะคุยด้วย” อัญชิตาคิดไปคิดมาอยากไปเล่าความจริงให้เพื่อนฟังเสียตอนนี้เลย พัทท์ก็เกินไป จะแกล้งกันไปถึงไหน
“มีแผนการอะไรหรือเปล่า” พินท์สุดาถามกลับไป รู้สึกไม่ไว้ใจอัญชิตา เป็นที่สุด
“มีเรื่องจะพูดกับพินท์นิดหน่อยเท่านั้น เป็นห่วงพินท์ด้วย” นี่คือสิ่งที่อัญชิตารู้สึกในเวลานี้
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ”
“กลัวอัญหรือไง ถึงไม่อยากเจอ” อัญชิตาเอ่ยถาม รู้สึกไม่สบายใจอยู่มาก
“คนอย่างฉันหรือจะกลัวเธอ อัญชิตา!” คนไม่ชอบให้ถูกท้าทายพูดขึ้น
“งั้นฉันไปหาเธอที่บ้านนะ” อัญชิตาสรุปเสร็จสรรพ กลัวเพื่อนเปลี่ยนใจ
“ก็ได้” พินท์สุดารับปากในที่สุด
“อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันนะ” การได้เห็นว่าเพื่อนยังโอเคดีอยู่ทำให้อัญชิตารู้สึกสบายใจ เธอจึงอยากไปหาเพื่อนก็เพราะอย่างนี้
“ได้” พินท์สุดาตอบกลับไปก่อนจะมองโทรศัพท์ที่วางสายไปแล้ว เธอไม่อยากเสวนากับอัญชิตานักแต่ก็รับปากไปแล้ว
อัญชิตามีข่าวเสียหายเรื่องคบผู้ชายหลายคน แต่พัทท์ก็ยังจะเชื่อหล่อน หาว่าหล่อนโดนใส่ร้าย บางทีเธอก็อยากจะให้เขาผิดหวังที่โดนอัญชิตาหลอกจะได้ตาสว่างเสียที