สร้อยมังกรเปล่งแสง
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงปิดกระแทกของประตูรถแท็กซี่ตามเมื่อชายหนุ่มมุดเข้ามานั่งในเบาะผู้โดยสารหลังจากช่วยคนขับยกกระเป๋าเดินทางของตนใส่กระโปรงท้ายรถแล้ว
“คุณลุงช่วยไปส่งที่โรงแรมนี้ครับผม”
ชายหนุ่มยื่นกระดาษที่จดชื่อโรงแรมเอาไว้ให้คนขับเมื่อขึ้นแท็กซี่หน้าสนามบินเรียบร้อยหลังจากเพิ่งแลนดิ้งเที่ยวบินรอบมิดไนท์ได้ไม่นานนักและตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว จาคอปบินมายังประเทศไทยเพื่อเยี่ยมพี่ชายและตั้งใจว่าจะชวนเขาไปเยี่ยมพ่อแม่บุญธรรมอีกด้วย
การมาเยือนครั้งนี้จาคอปไม่ได้บอกกล่าวกับพี่ชายบุญธรรม เพราะคิดจะมาเซอร์ไพรส์ให้ตกใจเล่นหลังจากไม่ได้พบกันนานหลายปี ชายหนุ่มวางแผนเอาไว้ว่า พรุ่งนี้จะไปหาเขาในที่ทำงานย่านท่องเที่ยวยามราตรีและถือโอกาสล่าเหยื่อไปด้วย
“ถึงโรงแรมแล้วนะครับ”
หลังจากนั่งรถอยู่นานคนขับแท็กซี่ก็บอกชายหนุ่มที่กำลังเพลิดเพลิน กับการชมแสงสีจากหลอดไฟบนป้ายโฆษณารวมทั้งไฟท้ายรถตามท้องถนนและบรรยากาศริมข้างทางยามราตรีของสยามเมืองยิ้มไทยแลนด์ดินแดนที่ชาวต่างชาติไฝ่ฝัน จาคอปชะงักเล็กน้อยเพราะไม่ได้ดูว่าถึงไหนแล้ว
“อ่ะอ๋อ ถึงแล้วเหรอครับ”
“ครับผม”
เขาล้วงเอาเงินสดจากกระเป๋าแบ็คแพ็คสีเขียวขี้ม้าใบใหญ่ที่ตั้งไว้ด้านข้างออกมาจ่ายค่าโดยสารให้คนขับ เงินไทยจำนวนมากถูกแลกเปลี่ยนไว้แล้วตั้งแต่อยู่ ตม.
“ไม่ต้องทอนนะครับคุณลุงตอนนี้มันดึกมากแล้วจะได้กลับไปพักผ่อน”
“อ้อขอบพระคุณมากๆ เลยครับ”
ลุงแท็กซี่กล่าวขอบคุณทั้งรอยยิ้มดีใจที่ได้ค่าโดยสารเกินมิเตอร์ไปหลายร้อยเพราะลูกค้าหนุ่มยื่นใบเทาให้แล้วเขาก็ลงไปช่วยยกกระเป๋าจากท้ายรถให้จาคอป รปภ.ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเมื่อเห็นลูกค้าเพิ่งมาถึงก็เดินเข้ามาช่วยขนกระเป๋าเข้าไปยังหน้าล็อบบี้
“สวัสดีค่ะ นคราช์ โฮเต็ลยินดีต้อนรับค่ะ”
พนักงานต้อนรับเอ่ยลากเสียงคำลงท้ายประโยคหวานเจื้อยแจ้วดังมาทักทายลูกค้าของโรงแรมที่เพิ่งเดินเข้ามาหน้าล็อบบี้
จาคอปเดินไปแจ้งเธอ เรื่องการจองห้องพักล่วงหน้าเอาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน หญิงสาวเช็กให้ในขณะที่เขายืนรออยู่ ไม่นานนักหญิงสาวก็ยื่นคีย์การ์ดให้เขาเป็นห้องหมายเลขสี่สองสอง
“ขึ้นลิฟต์ไปแล้วเลี้ยวทางฝั่งขวามือนะคะ”
“ครับ ขอบคุณครับผม” ชายหนุ่มรับเอาคีย์การ์ดมาพร้อมกล่าวขอบคุณเธอ
“ยินดีรับใช้ค่ะ ขอให้พักผ่อนให้สบายนะคะ” เธอกล่าวเสริมชายหนุ่มพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มอ่อนให้เธอ
จาคอปลากกระเป๋าเดินเข้าลิฟต์แต่ในขณะที่ประตูลิฟต์กำลังเลื่อนปิด อยู่ๆ สร้อยของเขาก็สั่นชายหนุ่มจึงรีบดึงออกมาดูปรากฏว่ามันเปล่งแสงสีชมพูอ่อนๆ เขาแปลกใจมากที่ได้เห็นสีสันเช่นนั้น เพราะมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
กึก!!
จาคอปละสายตาจากสิ่งที่อยู่ในมือเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังประตูลิฟต์ทำให้เขารีบกำจี้สร้อยเอาไว้เพื่อปิดบังแสงของมันที่กำลังเปล่งประกายเจิดจ้าออกมา
“ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ” เธอผู้หยุดประตูลิฟต์กล่าว
หญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีแดงเลือดหมูของพนักงานต้อนรับ ใส่รองเท้าส้นสูงขนาดสองนิ้ว สีดำยืนอยู่ด้านหน้า เธอย่อตัวให้เขาเล็กน้อยในฐานะลูกค้าก่อนก้าวเท้าเข้ามาในลิฟต์และหันไปยืนฝั่งปุ่มกด
“ท่านจะขึ้นชั้นไหนคะ”
“อ๋อ เอ่อชั้นสี่ครับ”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้านหน้าแล้วถอยไปยืนเยื้องๆ เธอ เธอหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนหันไปจ้องที่ปุ่มกดข้างประตูลิฟต์ เธอเลือกชั้นที่จะไปให้เขาและตนเองขณะที่จี้สร้อยในมือของจาคอปยังสั่นไม่หยุด
จาคอปยกมืออีกข้างป้องแสงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แสงสีชมพูนั้นมันเจิดจรัสยิ่งกว่าเดิมแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วง และสุดท้ายเป็นสีเขียว ลำแสงนั้นเปล่งลอดผ่านรอยแยกที่มีลักษณะเหมือนเกล็ดงู จากจี้ไข่มังกรในเวลาอันสั้น มันส่องแสงวูบวาบสลับสีกันไปมาอยู่แบบนั้น จนจาคอปต้องรีบกำจี้ไว้แน่น เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะสังเกตเห็น
‘เดี๋ยวว่างๆ ค่อยถามคุณแม่’
เขาคิดออกแค่นั้น เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถึงชั้นสี่แล้วค่ะ” หญิงสาวกล่าว เสียงของเธอทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากห้วงแห่งความคิด
“อ๋อครับ”
เขากุลีกุจอลากกระเป๋าออกจากลิฟต์พร้อมแบ็คแพ็คใบใหญ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังโดยที่มีหญิงสาวกดปุ่มเปิดค้างเอาไว้ให้
“ขอบคุณมากเลยนะครับ” เขาหันกลับไปขอบคุณเธอ
“ยินดีรับใช้ค่ะ” เธอกล่าวและยิ้มอ่อนให้เขา
“พูดไทยชัดจังเลยนะคะ”
“ครับผมพูดกับพี่ชายและคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมบ่อยน่ะ ขอตัวก่อนนะครับ”
“เชิญค่ะ” เธอผายมือ
จาคอปบ่ายหน้าเดินตรงไปยังห้องพักตัวเองเพื่ออาบน้ำพักผ่อน ระหว่างทางชายหนุ่มเอาสร้อยออกมาดู สิ่งที่เขาแปลกใจคือสีของมันค่อยๆ อ่อนลงจนไร้แสงเมื่อเดินออกจากลิฟต์มาจนถึงประตูห้อง
“อะไรกัน แปลกแฮะอยู่ด้วยกันตั้งนานนับร้อยๆ ปี ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้มาก่อนเลย” เขาพึมพำอยู่คนเดียวพร้อมทั้งรูดคีย์การ์ดปลดล็อกประตู
“ตีสองแล้วเหรอ”
จาคอปมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ผนังห้องเหนือทีวีวางกระเป๋าลากพิงไว้กับชั้นวางของปล่อยกระเป๋าสะพายวางลงกับพื้น
“สไกป์หาคุณแม่ก่อนดีกว่า”
ว่าแล้วจาคอปก็เปิดกระเป๋าเป้แบ็คแพ็คค้นเอาโน้ตบุ๊กออกมาเปิดเครื่องไว้แล้วเดินไปเปิดทีวีแต่มันกลับไม่ติดพอดีกับโน้ตบุ๊กบูทเสร็จพร้อมใช้งาน จาคอปละความสนใจจากสิ่งที่อยู่ด้านหน้าตรงไปหาโน้ตบุ๊กหิ้วมันแล้วเดินไปนั่งลงเอนหลังพิงหัวเตียง ชายหนุ่มเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่โรงแรมติดรหัสผ่านไว้ข้างผนังห้องแล้วกดสไกป์หาแม่รอสักพักแม่มารีแอนของเขาก็ตอบรับวิดีโอคอล
“ไงลูกรัก”
มารีแอนเอ่ยทักทายลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ
“ครับคุณแม่ผมถึงไทยแล้วนะครับ” เขาบอกสิ่งที่แม่ขอเอาไว้หากมาถึงเมืองไทย
“จริงเหรอลูกแล้วได้เจอพี่ชายของลูกหรือยังล่ะ”
“ยังครับคุณแม่ผมกะว่าจะไปเซอร์ไพรส์เขาที่ทำงานพรุ่งนี้น่ะครับ คืนนี้ผมต้องขอพักก่อนอีกอย่างที่นี่ก็ใกล้ตีสามแล้ว เขาคงจะเลิกงานไปแล้วล่ะ” จาคอปอธิบาย
“อ๋อ แล้วลูกมีอะไรอยากจะถามแม่หรือเปล่าล่ะ ถึงได้รีบโทรกลับมาแม่รู้สึกถึงความสงสัยในใจลูกนะ”
จาคอปนิ่งไปสักพักเมื่อได้ยินบุพการีถามออกมาแบบนั้น เขาใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้น
“มีครับ”
ชายหนุ่มล้วงเข้าในคอเสื้อดึงเอาสายโลหะสีเงินแล้วถอดสร้อยที่ห้อยติดกับจี้รูปมังกรกอดไข่ออกมาถือเอาไว้ในมือ เขายื่นเข้าไปใกล้กับกล้องโน้ตบุ๊กให้แม่ดู
“คุณแม่จำสร้อยเส้นนี้ได้ไหมครับ” เขาพูดพร้อมหย่อนสายสร้อยลงให้แม่เห็นมันชัดๆ
“จำได้สิลูกนั่นสร้อยของคุณยายทวดลูกนี่มีอะไรเหรอ” มารีแอนตอบพร้อมยิงคำถามต่อ
“มีครับคุณแม่ คุณแม่เคยเห็นมันเปล่งแสงหรือเปล่าครับ” เขาวางมันลงบนเตียงนอนข้างๆ ตัว เธอนึกอยู่สักพักก่อนตอบ
“ไม่นะลูก มันเปล่งแสงแบบไหนเหรอ”
“ตอนแรกมันสั่นก่อนครับ แล้วเริ่มเปล่งแสงสีชมพูอ่อนในจี้ไข่มังกร แล้วก็รุนแรงขึ้นเป็นสีม่วงเข้มและเปลี่ยนเป็นสีเขียวสลับกันไปมา แสงมันแทรกออกมาตามรอยแตกของเกล็ดไข่มังกรคุณแม่ไม่เคยเห็นจริงๆ เหรอครับ”
“อืม..อ่อจริงสิในวันที่แม่คลอดลูกมันสั่นรุนแรงนะแต่มันไม่เคยเปล่งแสงและเพราะมันสั่นคุณยายทวดจึงยกมันให้ลูก พอมันอยู่บนตัวลูกมันก็หยุดเหมือนถูกกดสวิตช์ปิดทันที”
มารีแอนเล่าไปคิดไปกรอกตาซ้ายบ้างขวาบ้างพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์
“อืม..แม่ไม่แน่ใจว่าเธอบอกแม่ไว้ยังไงเรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้วแต่ว่ามันมีบันทึกที่บ้านของคุณทวด เกี่ยวกับสมบัติโบราณหลายชิ้น แล้วแสงนั่นมันสำคัญกับลูกหรือเปล่าเพราะถ้ามันสำคัญมากแม่คงต้องไปค้นข้อมูลที่บ้านคุณยาย” เธอบอกกับลูกชาย
“ก็ผม..” เขาหยุดคิดก่อนถามแม่ด้วยความไม่แน่ใจว่ามันสำคัญหรือเปล่า แต่เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นมันจึงนำความอยากรู้มาให้เขานั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เพียงพอแล้วหากจะมองมันให้เป็นเรื่องสำคัญ
“สำคัญครับคุณแม่แล้วคุณแม่จะไปวันไหนครับ”
“คงสัปดาห์หน้าน่ะลูกแล้วมันเปล่งแสงตอนไหนล่ะ”
“ตอนผมเข้าลิฟต์ครับแล้วก็เริ่มรุนแรงขึ้นตอนผมอยู่ในลิฟต์”
“จริงเหรอ” มารีแอนหลุบตาลงขมวดคิ้วครุ่นคิดอีกทีเพียงชั่วอึดใจเธอก็พูดขึ้น
“อืม.. ลูกเข้าลิฟต์คนเดียวหรือเปล่าล่ะ”
“เปล่าครับมีผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นลิฟต์พร้อมกันกับผม”
มารีแอนผู้เป็นแม่ของจาคอปเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ตาโตลุกวาว เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก
“เธอคือใครเหรอลูกรัก”
“ผมไม่รู้จักครับแต่เธอใส่ชุดพนักงานของโรงแรมที่ผมเข้าพักน่าจะทำงานฝ่ายต้อนรับนะครับแต่ผมไม่เห็นเธอตอนเช็กอิน เธอเดินเข้าลิฟต์ตามผมมาจี้มันเริ่มสั่นก่อนที่เธอจะปรากฏตัวตรงหน้าผมครับ”
“ว้าว!”
มารีแอนกะพริบตาถี่ๆ อ้าปากค้างหวอ รู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจหลังได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากลูกชายของตน
“เอาอย่างงี้ อาทิตย์หน้าแม่จะกลับมาให้คำตอบกับลูกนะ ตอนนี้แม่ว่าแม่มีเรื่องสำคัญต้องรีบไปแล้วล่ะ” เธอบอก
“อ้าว คุณแม่จะรีบไปไหนครับ” เขารีบถาม
“แม่จะไปบ้านคุณยายทวดที่เพนซิลเวเนีย แล้วเจอกันนะลูกรักแม่รักลูกนะฝากบอกพี่ชายลูกด้วยว่าแม่คิดถึงเขา”
“อ๊ะ อ้าว เดี๋ยวครับคุณแม่”
จาคอปถึงกับเหวอเมื่ออยู่ๆ แม่ของเขาก็ปิดสไกป์ใส่หน้า
“อะไรกันเนี่ย” เขายกมือทั้งสองข้างทึ้งผมตัวเองขึ้นด้านบน
“เฮ้อ โอเค เธอก็เป็นของเธอแบบนี้อยู่แล้วนี่จาคอปเอ๊ยนายยังไม่ชินอีกเหรอ”
เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วถอนหายใจออกนั่งจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กอยู่สักพักก็พับมันลง
“อาบน้ำดีกว่า”
ว่าแล้วเขาก็ลากโน้ตบุ๊กออกจากหน้าตัก วางมันลงบนเตียง ข้างๆ กันกับสร้อยมังกร เครื่องรางโบราณที่ยายทวดมอบให้เขามาตั้งแต่แรกเกิด จาคอปเดินไปเปิดทีวีอีกครั้งแต่มันก็ยังไม่ติด ชายหนุ่มนึกได้ว่าทีวีมีปัญหาจึงโทรลงไปแจ้งล็อบบี้
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวที่อยู่ปลายสายร่ายยาวถึงสโลแกนของโรงแรมตามด้วยเอ่ยชื่อของตนแล้วถาม
“มีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” จาคอปชะงักเพราะฟังเธอพูดจนเพลิน
“อ๊ะเอ่อ ครับทีวีห้องผมดูไม่ได้ช่วยส่งคนมาเช็กให้ได้ไหมครับ”
“อ๋อ ไม่ทราบว่าท่านพักห้องไหนคะ”
“ห้องสี่สองสองครับ” ชายหนุ่มตอบ
“ห้องสี่สองสองดิฉันได้รับเรื่องเอาไว้แล้ว กรุณารอสักครู่นะคะ เดี๋ยวจะแจ้งเจ้าหน้าที่ขึ้นไปตรวจสอบให้”
“ครับผม”
“ทางเราต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ”
“ครับ”
แกร๊ก!!
จาคอปวางสายแล้วดึงผ้าคลุมและผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำทันที
“เฮ้อเหนื่อยเหลือเกิน”