บทที่ 5
เสียงกริ่งตรงหน้าประตูดังกังวานขึ้น แม่ลูกที่กำลังยืนจ้องตากันเหมือนเสือสองตัวที่ถูกจับมาขังไว้ในกรงเดียวกันต่างระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ ต่างฝ่ายต่างกระหายในชัยชนะเพื่อการคงไว้ซึ่งสถานะของตน
ยอร์ช กัลป์ลิเวย์ ที่ปรึกษาซึ่งเปรียบเสมือนแขนขวาของมาเรียนก้าวเข้ามา เขาเป็นสุภาพบุรุษท่าทางอ่อนโยนเฉลียวฉลาด ซึ่งทุกคนในวงการต่างก็รู้ดีว่า เขาคือผู้ที่กุมอำนาจที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังกิจการทั้งหมดของฮิลยาร์ดและหลายต่อหลายครั้งที่มาเรียนและยอร์ชต้องครุ่นคิดอยู่ว่า ไมเคิลจะล่วงรู้ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพวกตนบ้างหรือไม่…
ยอร์ชหันรีหันขวางด้วยยังไม่แน่ใจว่า ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้ามีสาเหตุมาจากอะไร
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ?” สายตาที่เขามองมาเรียนเต็มไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง เพราะยอร์ชรู้ดีว่ามาเรียนกำลังถูกคุกคามด้วยโรคร้ายหลายโรค
“ไม่…ไม่มีอะไรหรอก เข้ามาก่อนสิค่ะยอร์ช”
“หรือว่าผมจะมาผิดเวลา” เขาพูดปนหัวเราะ
“อ๋อ…ไม่หรอกครับ ผมก็กำลังจะกลับพอดี” ไมเคิลตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย “เอาละครับ กู๊ดไนท์นะครับแม่”
“จ๊ะ กู๊ดไนท์ พรุ่งนี้ แม่จะโทรไปหานะลูก เราอาจจะคุยถึงปัญหานั่นทางโทรศัพท์ต่อก็ได้”
ไมเคิลสะบัดหน้า สะกดกั้นวาจาเผ็ดร้อนที่กำลังออกมารออยู่ตรงริมฝีปากไว้ อยากจะทำให้ผู้เป็นแม่รู้สึกเจ็บช้ำสียบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้
“ไมเคิล…” เสียงมารดาเรียกขึ้นเบาๆ
แต่เขาไม่ตอบ หันไปสัมผัสมือกับยอร์ช เดินออกไปจากห้องสมุดไม่พูดไม่จา จึงไม่ทันเห็นมารดาที่สบตาอยู่กับยอร์ช ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ยกมือสั่นเทาขึ้นปิดหน้า น้ำตาคลอ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ มาเรียน?”
“เขาอยากจะทำอะไรที่มันโง่ๆ น่ะค่ะ”
“หรืออาจจะเป็นเพราะ… เราบังคับเขามากไปหรือเปล่า?” น้ำเสียงของยอร์ชอ่อนโยน ปลอบใจ
“ค่ะ เพราะว่าสมัยเรา ความพอใจของพ่อแม่เป็นใหญ่แต่สมัยนี้ เราไม่อาจเตือนเขาได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องปล่อยไปก่อน ว่าแต่วันนี้คุณกินยาบ้างหรือยัง?”
เธอสั่นศีรษะแทนคำตอบ
“ยาอยู่ไหนล่ะ?”
“ในกระเป๋าบนโต๊ะนั่นแหละค่ะ”
ยอร์ชมองดูแผ่นกระดาษรายงานที่ตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้อง แต่แล้ว ก็เดินเลยไปเปิดกระเป๋าถือ หยิบยาเม็ดสีขาวออกมาเดินไปรินน้ำใส่แก้วเอามายื่นส่งให้
“นี่ถ้าฉันไม่มีคุณ ฉันจะทำยังไงคะยอร์ช?”
“ไม่รู้สิ” เขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด “ผมว่าผมควรจะไปได้แล้วนะ คุณจะได้พักผ่อน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ…ไม่จำเป็น ฉันเพียงแต่รู้สึกผิดหวังในตัวไมเคิลเท่านั้น”
“แล้วเขาจะยังทำงานในบริษัทที่เราเตรียมไว้ให้หรือเปล่าล่ะ?”
“ทำค่ะ เรื่องนั้นคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
ยอร์ชพยักหน้ารับ ผู้ชายหนุ่มๆ ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องงานก็คงจะต้องเป็นเรื่องผู้หญิงแน่ เขาชำเลืองมองแผ่นกระดาษที่เรี่ยราดอยู่บนพื้นห้องอีกครั้ง แล้วก็ตัดสินใจที่จะไม่ถามต่อเพราะท่าทางของมาเรียนเองก็ดูจะผิดหวังอย่างหนักอยู่แล้วยอร์ชลอบชำเลืองดูใบหน้าของสตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้า มาเรียนเป็นคนที่มีวัยงาม แม้ในยามที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายที่หน้ากลัวอยู่ขณะนี้ก็ตาม และถ้าไมเคิลรู้ว่าแม่ของตัวเองกำลังเป็นอะไรอยู่ เขาจะกล้าทำอะไรตามอำเภอใจหรือไม่นะ…?
แต่ยอร์ชเองก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่า ความรู้สึกผิดหวังอย่างหนักนั้นก็กำลังเล่นงานไมเคิลในขณะเดียวกัน ความที่ไม่เคยถูกขัดใจมาก่อน ทำให้เขาร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กขณะที่นั่งอยู่ในตอนหลังของรถแท็กซี่ที่กำลังพาเขาไปส่งสนามบินและทันทีที่ถึงสนามบิน... ไมเคิลก็ต่อโทรศัพท์ไปหาแนนซี่ทันที ทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีกเพียงยี่สิบนาทีที่เครื่องบินจะออก
“ได้ความว่ายังไงบ้างล่ะคะ?” เสียงหวานๆ ถามมาตามสาย
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก” เสียงที่เขาตอบกลับไปนั้นห้วนห้าวผิดปกติ… “ตอนนี้ ผมอยากให้คุณจัดกระเป๋าเตรียมตัวไว้ให้พร้อมภายในหนึ่งชั่วโมง”
“เตรียมตัวให้พร้อม…ทำไม ล่ะคะ?”
“เราจะไปผจญภัยกันไงล่ะสุดที่รัก เดี๋ยวคุณก็จะรู้”
“แหม…ตื่นเต้นจัง” เธอหัวเราะเสียงระรื่น
“นั่นสิ…อ้อ…แล้วก็เตรียมเสื้อผ้าไว้ด้วยนะ เสื้อเก่าก็ได้แต่ดูที่มันใหม่หน่อยก็แล้วกัน”
“คุณพูดอะไรของคุณคะนั่น?”
“เถอะน่า…”
“หรือคุณหมายความว่า…”
“ครับผม…หมายความว่าผมจะแต่งงานกับคุณคืนนี้...ก็เราตกลงกันแล้วยังไงล่ะ”
“ค่ะ…ค่ะ…แต่…”
“ไม่มีแต่อีกแล้ว แนนซี่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น คืนนี้คุณจะเป็นเจ้าสาวของผมได้ยินไหม?”
“แต่ทำไม เราถึงต้องรีบร้อนอย่างนั้นด้วยล่ะ แล้วทำไมต้องเป็นคืนนี้ด้วย?”
“ไม่มีอะไรหรอก แต่คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงไม่ใช่หรือ สุดที่รัก?”
“ค่ะ…” เธอตอบรับอย่างเลื่อนลอย รู้สึกตัวเองพองโตขึ้นทุกขณะ…จนลอยเลื่อนขึ้นไปถึงพระจันทร์ดวงนั้น
“อีกหนึ่งชั่วโมงเราพบกันนะแนนซี่…ฟังให้ดีนะ…”
“คะ…?”
“ผมรักคุณ”
เขาส่งจูบไปตามสาย เครื่องบินกำลังจะออก…บอสตันหัวใจของเขาอยู่ที่นั่น ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้อีกแล้ว ไมเคิลกำลังคิดว่า…เขาทำถูกแล้ว อย่างน้อย นับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครมาพรากเธอไปจากเขาได้อีกเป็นอันขาด… ไม่มีวันแม้ว่าใครคนนั้นจะเป็นแม่ของเขาเองก็ตาม
“เบน…ออกมาหาหน่อย…เบน…เบน…”
เสียงทุบประตูโครมครามดังอยู่เป็นครู่ เสียงฝีเท้าจากภายในจึงได้ดังขึ้น และเมื่อประตูเปิดออก เบน อเวรี่ ที่หน้าตางัวเงียเพราะเพิ่งตื่นนอนก็โผล่ออกมา
“ห่ะ…อะไรกันวะ…นี่เพิ่งห้าทุ่มเท่านั้น นอนแต่หัวค่ำเชียวเรอะ ไอ้เสือ…?”
“ช่างฉันเถอะน่า ว่าแต่มีเรื่องอะไร นายถึงได้มาเคาะห้องฉันปึงปังอย่างนี้ นายจะเอาอะไรหรือไมค์?”
“ไม่ต้องถาม ไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้เลย ฉันต้องการความช่วยเหลือจากนาย”
“ห่ะ…กินเหล้าเข้าไปตั้งเยอะ ง่วงจะตายห่า…จะนอน”
“เออน่ะ…ไปนอนในรถก็ได้ แต่ตัวเร็วเข้า”
“วะ…ก็แต่งอยู่นี่แล้วไง…เอ้ย…อย่าเปิดไฟ แสบตาตายชัก…นายจะเอาอะไรที่นี่?”
“ระเบิด”
“ไอ้บ้า เดี๋ยวก็ให้เสียจริงๆ หรอก เร็วๆ …ว่ามา”
“เร็ว…ใช่…ต้องเร็วแน่ นี่เป็นโอกาสพิเศษของฉันนี่หว่า” สุ้มเสียงของไมค์เคิลตื่นเต้นมาทันที
“เอ๊ะ…โอกาสพิเศษอะไรของนาย…เออดี… ถ้ายังงั้นก็มานั่งกินเหล้าฉลองกันก่อนก็แล้วกัน”
“เฮ้ย…อย่าเพิ่งเลย เดี๋ยวเสร็จเรื่องแล้วนายจะกินสักเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องทีหลัง”
“วะ เรื่องมากจริง เอา…ว่ามา” เบนกระแทกตัวลงในเก้าอี้
“นายไม่อยากรู้หรือวะว่าโอกาศพิเศษนั่นน่ะ…คืออะไร?”
“ไม่ต้องรู้ก็ได้ ถ้าไม่ได้กินเหล้าฉลองจะรู้ไปทำไม …ห่ะ…ที่จริงเราก็จะรับปริญญากันอยู่แล้ว ถือว่าเป็นโอกาศฉลองกันล่วงหน้าก็ยังได้นี่หว่า”
“นายไม่สนใจจริงๆ น่ะหรือ…ฉันกำลังจะแต่งงาน”
“เออ…ก็ดีนี่…” เบนสนองรับไปตามเพลง แต่แล้วดวงตาก็ลุกโพลง ทั้งยังผุดลุกขึ้นนั่งเต็มตัว “เฮ้ย…นายว่าอะไรนะ?”
“นายก็ได้ยินแล้วนี่หว่า… ว่าฉันกำลังจะแต่งงานกับแนนซี่”
“แล้วไง จะฉลองหมั้นเสียก่อนยังงั้นเรอะ?”
“ไม่ใช่น่า จะหมั้นกันทำไม วะให้ยุ่งยาก ก็ฉันบอกแล้วไงล่ะว่า แต่ง…”
“เดียวนี่นะเรอะ?” ฤทธิ์เหล้ากว่าสิบแก้วที่เดิมเข้าไปก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด เอาละวา…พวกฮิลยาร์ดคงได้ร้อนก้นกันเป็นแถวก็คราวนี้ละ… เบนคิดอยู่ในใจอย่างครึกครื้น
“แล้วทำไม นายต้องแต่งงานเดี๋ยวนี้ด้วยล่ะ?”
“ก็เพราะอยากแต่งน่ะสิไอ้บ้า ถามบ้าๆ แล้วเราก็อยากให้นายช่วยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้หน่อยด้วย”
“อ๋อ.ได้สิ…ได้อยู่แล้ว…แต่ว่านายจะแต่งที่ไหนล่ะ?”
“ฟังนะ ฉันให้นายแต่งตัวก็ไปแต่งแล้วกัน และก็เพื่อไม่ให้นายตายเสียก่อนที่จะได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวอย่างที่ว่าฉันจะชงกาแฟให้”
“เออดี…เอาสิวะ แต่งก็แต่งกัน”
เบนเดินโซซัดโซเซไปที่อ่างล้างหน้า เพียงครู่เดียวเขาก็ออกมาจากห้องนอน สวมเสื้อยืดแต่ถือเนคไทออกมาด้วย
“นายจะเอาเนคไทผูกคอเสื้อยืดได้ยังไงวะ?”
“อ้าว…ไม่ต้องใช้ไทหรอกเรอะ…ห่ะ…มันตื่นเต้นจนไม่รู้จะแต่งตัวยังไงนี่หว่า”
“เออ…รูดซิปกางเกงเสียก่อน เดี๋ยวฉันจะช่วยหาเสื้อผ้าให้…รองเท้าอยู่ไหนล่ะ?” เบนก้มมองสารรูปตัวเองแล้วก็หัวเราะออกมา
“เอาวะ…เอายังไงก็เอากัน...ห่ะ… จะแต่งงานทั้งทีบอกให้รู้แต่เช้าหน่อยก็ไม่ได้ จะได้มีเวลาเตรียมตัว”
“ก็เมื่อเช้านี้ยังไม่รู้นี่หว่าว่าจะแต่ง”
“หา…นี่นายไม่รู้หรอกเรอะว่าเราจะแต่งงานวันนี้?” สีหน้าของเบนยุ่งยากจนไมเคิลอดหัวเราะไม่ได้
“เออ…ไม่รู้หรอก”
“แล้วนายแน่ใจหรือว่า…คืนนี้เป็นคืนแต่งงานของนายแน่ๆ…”
“เออสิวะ เอาละ ฉันไม่มีเวลามานั่งอธิบายอะไรเพราะวันนี้พูดมาเยอะแล้ว เสร็จหรือยังละ เสร็จแล้วเราจะได้ไปรับแนนซี่กันเลย”
ไมเคิลยื่นถ้วยกาแฟในมือให้ เบนรับไปดื่มรวดเดียวหมด…
“เสียคุณค่าของเหล้าฉิบหายเลย”
“เอาเถอะน่า ไว้เสร็จเรื่องเสียก่อนจะซื้อให้กินเป็นขวดเลยวะ”