ตอนที่ 3 บังเอิญหรือพรหมลิขิต
“นิ่ง เราไปวิ่งกันไหม” ทับทิมหันมาชวนฉันในช่วงบ่ายของวันเสาร์
“อารมณ์ไหน”
“อารมณ์อยากวิ่ง อยากเป็นคนสวยสุขภาพดี” ทับทิมยักคิ้วให้กวนๆ
“อยากวิ่งหรืออยากไปส่องผู้ชาย”
“บร้า เพื่อนไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น” ปฏิเสธเสียงสูงขนาดนี้ ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นเลย
“งั้นไม่ไป”
“ยัยบ้าผู้ชาย” ฉันหัวเราะเสียงใส่เมื่อมันพูดแบบนั้น
“แกเองก็บ้าเหอะ ไปตอนนี้เลยไหมล่ะ จะสี่โมงแล้ว”
“ไปสิ ฉันยืมรองเท้ากับชุดแกด้วยนะไม่ได้เอาชุดมา”
“แล้วแกจะชวนฉันทำไม”
“ขี้เกียจอยู่ห้อง อยากไปเจอสายลมและแสงแดด” มันเงยหน้าขึ้นแล้วหลับตา เสมือนรับสายลมและแสงแดด นี่ฉันมีเพื่อนบ้าใช่ไหม
“ระวังนกขี้ใส่หัวนะ ฉันจะหัวเราะให้” ฉันเดินเข้ามาในห้องเพื่อเปลี่ยนชุด
“นกไม่ขี้ใส่คนสวยหรอก”
“นกไม่ได้มีแค่ตัวผู้เผื่อแกลืม”
“ชิ มาขี้ใส่ดูสิ แม่จะเอาหนังสติ๊กยิงไส้แตก”
“แกมี”
“ไม่มี แหะๆ เลิกพูดดีกว่า ไหนอะชุดที่จะให้ฉันยืม”
“อะนี่” ฉันหันไปหาชุดก่อนจะยื่นให้มัน
พวกเราเปลี่ยนชุดเสร็จก็เดินลงมาที่รถ ฉันมีรถขับตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งเพราะพ่อซื้อให้ ท่านอยากให้ฉันสะดวกในการเดินทาง ไม่ต้องไปเบียดกับใคร ซึ่งฉันก็ไม่ขัด ยอมตามใจท่าน
มาถึงสวนสาธารณะเราก็วอร์มร่างกายกันก่อนจะออกวิ่ง ฉันมาออกกำลังกายบ่อยนะ สิ่งที่ทำให้ฉันออกจากห้องได้คือการออกมาวิ่งนี่แหละ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
“คนเยอะจังแก” ออกวิ่งได้ห้าร้อยเมตรยัยทับทิมก็พูดขึ้น ซึ่งฉันก็เห็นด้วยกับมันว่าวันนี้คนเยอะจริง
“เยอะจริง น่าจะเป็นวันเสาร์ด้วย เอากี่รอบดี”
“วิ่งไปเรื่อย ๆ อะ เหนื่อยก็พัก” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเราเริ่มต้นวิ่งอย่างจริงจัง เสียบหูฟังเปิดเพลงวิ่งไปด้วย ทับทิมก็ทำแบบเดียวกันกับ
วิ่งเหยาะๆ ไม่รีบมาก สายตามองไปข้างหน้า วิ่งไปสักพักรู้สึกเหนื่อยก็หยุดเดิน หายเหนื่อยแล้ววิ่งต่อ จนผ่านไปหนึ่งรอบ ฉันหันไปมองหายัยทับทิมก็เห็นมันอยู่ไกล ๆ อยู่ด้านหลัง
ฉันไม่ได้สนใจรอมัน วิ่งต่อไป มาวิ่งแบบนี้ไม่จำเป็นต้องรอกันหรอก
ฉันมองตรงไปข้างหน้า บางคนก็วิ่งสวนมาอีกทาง
บางคนวิ่งคนเดียว บางคนวิ่งเป็นคู่ ฉันมองพวกเขาบ้างแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก จนสายตาของฉันไปสะดุดเข้ากับร่างสูงสมส่วนที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ฉันวิ่งแลนขวาเขาวิ่งแลนซ้าย
ฉันตาโตทันทีที่เห็นชัดๆว่าเป็นใคร ผู้ชายคนนั้น คนเมื่อคืน ร่างสูงอยู่ในชุดออกกำลังกาย เขาดูดีมากในชุดนี้ สาวๆ ที่วิ่งผ่านมองเขาทุกคน เขาเสียบหูฟังทั้งสองข้าง
เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แต่เขายังไม่เห็นฉัน และฉันก็ภาวนาอย่าให้เขาเห็น แต่เหมือนคำขอของฉันจะไม่เป็นผลเมื่อสายตาคมหันมาสบตากับฉันในเสี้ยวเวลาที่เราวิ่งสวนทางกัน กำลังขาของฉันเหมือนจะลดลงทำให้ก้าวช้าลง
ฉันไม่ได้หันมองไปข้างหลัง ยังวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ฉันไม่กล้า และไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่นี่
หัวใจฉันยังเต้นแรงอยู่เลย อาการแบบนี้มันคืออะไร
ฉันวิ่งมาได้ไกลพอสมควรก่อนจะหยุดแล้วหันไปมองด้านหลัง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ทำให้ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก
โล่งอกเหรอ แล้วฉันจะไปคิดเรื่องของผู้ชายคนนั้นทำไมเนี่ย เจอกันแค่ครั้งเดียวเขาก็มาวนเวียนอยู่ในความคิดของฉันได้แล้วเหรอ
บ้าน่า
ฉันสะบัดหัวแรงๆ ก่อนจะมองหายัยทับทิมก็เห็นมันวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา
“เหนื่อยวะ ไปหาน้ำกินกันเถอะ” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย พวกเราจึงเดินไปร้านขายน้ำกัน
ฉันไม่ได้เล่าเรื่องผู้ชายคนเมื่อคืนให้ใครฟังแม้แต่ยัยทับทิมและฉันคิดว่าไม่จำเป็นต้องเล่า เพราะมันไม่ได้สำคัญอะไร
“ฝากซื้อด้วยนะ ฉันไม่ได้เอาเงินลงมาจากรถ” ฉันกลอกตาใส่มัน
“แกนี่เนียนกินฟรีตลอด” ฉันแขวะมันเบาๆ
“อะไรเล่า เพื่อนไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นสักหน่อย เดี๋ยวเพื่อนเลี้ยงเตี๋ยว”
“ตามนั้น” ฉันเดินไปซื้อน้ำให้มัน
“ป้าคะ น้ำเปล่าหนึ่งเป๊ปซี่หนึ่งค่ะ” สั่งเสร็จฉันก็ก้มล้วงเงินในกระเป๋าคาดเอวที่ใส่มาด้วย
“วิ่งเสร็จก็กินน้ำอัดลม” เสียงเข้มที่ดังขึ้นเหนือหัวทำให้ฉันชะงัก ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคนพูด คำพูดเมื่อกี้คงไม่ได้ว่าฉันหรอกนะ
แต่พอเงยหน้าขึ้นมองก็ทำให้ฉันชะงักกับสายตาคมที่จ้องฉันอยู่ เขา ผู้ชายคนนั้น ฉันพยายามนิ่งให้มากที่สุด พยายามไม่แสดงสีหน้ามากเกินไป
ฉันชี้มือเข้าหาตัวเองก่อนจะถามเขา
“ว่าเราเหรอ” ฉันทำเป็นถามเขาอย่างงงๆ
สำหรับฉันเขาก็คือคนแปลกหน้า
เขาเลิกคิ้วให้ก่อนจะพยักหน้า ฉันชะงักไปทันทีที่เขายอมรับง่ายๆ แบบนั้น เราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อยทำไมถึงว่ามากันได้ ถึงเขาจะเคยช่วยฉันไว้ก็เถอะ
“ได้แล้วจ้ะหนู ยี่สิบห้าบาท” ฉันละความสนใจจากเขาเมื่อแม่ค้าเรียก พร้อมยื่นน้ำเปล่าและน้ำอัดลมที่ใส่ถุงพร้อมหลอดมาให้
“นี่ค่ะ” ฉันจ่ายเงิน ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วมองเขาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น
ฉันคนเป็นอีกประเภทหนึ่งคือถ้าไม่สนิท ไม่รู้จัก ก็ไม่รู้จะพูดอะไรด้วย ถ้าคนนั้นไม่เริ่มก่อน
ถึงฉันจะกรี๊ดที่เขาหล่อตรงสเปคแค่ไหน ยังไงเขาก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี
ฉันเดินไปหาทับทิมที่นั่งเล่นโทรศัพท์รอ
“อะแก” ฉันยื่นน้ำเปล่าให้มัน แล้วตัวเองก็กินน้ำอัดลม ถึงตอนกินจะนึกถึงคำพูดของใครบางคนก็เถอะ ฉันพอรู้ว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ฉันอยากกินนี่นา
เป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
“กลับกันเลยไหม หรือจะวิ่งอีกสักรอบ”
“กลับ อยากกินเตี๋ยวแล้ว”
“ของฟรีนี่ไวเชียว”
“แน่นอน” ฉันกับทับทิมเดินไปที่รถ แต่ฉันก็ยังไม่วายหันไปมองทางร้านขายน้ำ เขาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
เราแวะกินก๋วยเตี๋ยว ก่อนกลับห้อง
“ตกลงว่าวันคอนแกว่างใช่ไหม ไม่ติดอะไรแน่นะ” ทับทิมหันมาถามฉัน
“แน่นอนสิ ถึงจะไม่ว่างฉันก็จะทำให้ว่าง ไม่มีอะไรมาขวางทางฉันได้หรอก เหลือแค่กดบัตรให้ได้ก็พอ”
“เงินพร้อมใจพร้อม” ความจริงฉันกำลังเก็บเงินอยู่ ยังไม่พร้อมเท่าไหร่
“แน่นอน”
เราตกลงกันว่าจะไปดูคอนด้วยกันในอีกสองเดือนข้างหน้า เฝ้ารอวันกดบัตรอย่างใจจดใจจ่อ