บทที่ 2 ชีวิตที่กำหนดเอง 1
แล้วเช้าวันที่หลีเริ่นหรานรอคอยก็มาถึง หญิงสาวในร่างเด็กตื่นขึ้นมาเตรียมตัวขึ้นเขาตั้งแต่ยามเหม่า* ก่อนจะเดินออกไปเคาะประตูห้องข้างเรียกผู้เป็นพี่ชายเสียงใส
“ท่านพี่สาม ท่านตื่นหรือยัง”
“ข้าตื่นแล้ว” เสียงของคนในห้องตอบออกมาพร้อมกับเดินมาเปิดประตูให้น้องสาว “หรานเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรเดินออกมาจากห้องเช่นนี้”
หลีเฉิงปิดประตูแล้วบ่นน้องน้อยเบาๆ แม้จะเป็นยามเหม่าแต่ฟ้าก็ยังไม่สว่าง นับว่ายังอันตรายอยู่แม้จะอยู่ในบ้านตัวเองก็ตาม และถึงห้องติดกันก็ไม่อาจวางใจ
“ข้าเดินมาหาพี่สามอย่างไรเจ้าคะ แล้วนี่เราออกไปหาท่านพ่อกับพี่ใหญ่ได้หรือยัง แล้วเราจะออกเดินทางกันตอนไหนเจ้าคะ”
หลีเฉิงส่ายหน้าน้อยๆ น้องสาวเขานั้นช่างตื่นเต้นยิ่งนัก เหมือนเขาในตอนแรกๆ ไม่มีผิด
“ป่านนี้ท่านแม่คงจะเตรียมเสบียงไว้ให้พวกเราเสร็จแล้ว อย่างนั้นพวกเราไปที่เรือนใหญ่กันเถอะ” พูดจบหลีเฉิงก็จูงมือน้องสาวออกจากห้องไปหาบิดามารดาและพี่ใหญ่
กระทั่งปลายยามเหม่าเมื่อคนพร้อม เสบียงพร้อม สี่ชีวิตก็ออกเดินทางขึ้นเขาในทันที เริ่นหรานตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ โผล่พ้นขอบฟ้าด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก ทั้งภูมิทัศน์สองข้างทางก็ดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี หรานเอ๋อร์น้อยจึงไม่ได้แสดงความงอแงออกมาเมื่อต้องเดินทางไกลเกือบสองลี้ด้วยตัวเอง ทั้งยังไม่เรียกร้องให้ใครอุ้ม ต่างจากเมื่อก่อนหน้า ทุกครั้งที่ออกจากจวนคุณหนูน้อยจะต้องร้องโวยวายบ่นว่าเมื่อย ทั้งที่ยังเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งลี้
“ท่านพ่อ! ดวงอาทิตย์ยามนี้สวยจังเจ้าค่ะ ไม่ร้อนด้วย” หลีเริ่นหรานเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี ดวงตากลมใสมองรอบข้างด้วยความตื่นเต้น
“เดินระวังด้วยหรานเอ๋อร์ มัวแต่ชื่นชอบบรรยากาศจนลืมมองทาง เจ้าจะสะดุดรากไม้หกล้มเอาได้” หลีหลุนเอ่ยเตือนน้องน้อยยิ้มๆ
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
ลลิลรับคำ ก่อนจะสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด ชาติที่แล้วเธอจำได้ว่ามีป่าที่อุดมสมบูรณ์แบบนี้เหลืออยู่น้อยมาก ฉะนั้นเมื่อได้มาอยู่ในสถานที่ที่มีออกซิเจนบริสุทธิ์เช่นนี้เธอก็จะกอบโกยเอามันเข้าปอดไปให้มากที่สุด
“เอ๊ะ! นั่นอะไรเจ้าคะพี่ใหญ่” มือน้อยๆ ชี้ไปที่ต้นไม้พุ่มเตี้ยต้นหนึ่งที่ส่องแสงเปล่งประกายราวแข่งกับแสงอาทิตย์ในยามเฉิน
“อืม...พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าอยากได้รึ?” หลีหลุนเอ่ยถามเพราะเขาเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง เพราะเป็นไม้พุ่มเตี้ย ทั้งยังมีดอกสีเหลืองอ่อนดึงดูดสายตา
“มันคือสมุนไพรหรือไม่เจ้าคะพี่ใหญ่” เริ่นหรานเอ่ยถามพี่ชาย หากว่ามันเป็นสมุนไพรก็ควรเก็บกลับไป แต่หากว่ามันเป็นเพียงดอกไม้ป่าที่ไม่มีคุณประโยชน์อันใด ก็ควรปล่อยให้มันชูช่อเบ่งบานงดงามเช่นนี้ต่อไป
“พี่ก็ไม่แน่ใจ พี่ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกพร้อมๆกับเจ้า”
หลีหลุนตอบน้องสาวตามตรง เรื่องจดจำสมุนไพรนั้นเขาสู้น้องชายอย่างหลีหยางไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เขาจะมองหาพวกหัวมันป่า เผือกป่า และสนใจการดักสัตว์เสียมากกว่าการมองหาสมุนไพร อีกทั้งสมุนไพรส่วนใหญ่ที่เก็บได้ น้องชายก็จะเป็นผู้บอกและชี้นำว่าหากพบครั้งหน้าก็ให้เก็บได้
หลีเริ่นหรานพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้พุ่มดอกไม้สีเหลืองอ่อนดังกล่าว แม้จะไม่มีความรู้ด้านสมุนไพร แต่นางก็รู้ดีว่าไมควรแตะต้องหรือสูดดมอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคือต้นอะไร แต่ดอกของเจ้าสวยงามนัก เช่นนั้นเจ้าก็เบ่งบานงดงามอยู่ที่เดิมเถิด ข้าจะไม่เด็ดเจ้า”
เสียงใสเอ่ยกับพุ่มไม้ก่อนจะทิ้งให้มันอยู่เบื้องหลัง แล้วเร่งเดินไปตามทางข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น วันนี้นางจะต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านไปให้พี่รองของนางดู
เวลาล่วงเลยถึงยามอู่สี่ชีวิตจึงได้หาที่พักริมธารน้ำ หลีเริ่นหรานชะโงกหน้ามองเงาตัวเองในน้ำก่อนจะยิ้มกว้างออกมา นางเพิ่งรู้ว่าหน้าตาตัวเองเป็นเช่นไรก็ตอนนี้เอง เพราะที่บ้านนั้นไม่มีกระจกเงาให้ส่อง กระจกทองเหลืองที่เธอเคยเห็นในละครจีนโบราณก็ไม่มี
หญิงสาวในร่างเด็กน้อยจึงได้แต่หันซ้ายแลขวาอยู่ตรงธารน้ำนานเป็นเค่อ เดือดร้อนหลีเฉิงเดินมาดูว่าน้องสาวตนนั้นทำอะไรอยู่นานสองนาน