บทที่ 1 ดวงวิญญาณที่ปรโลกไม่ต้องการ 3
คนถูกห้ามกอดน้องทำแก้มป่อง หลีเฉิงนั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นพี่ชายที่แสนดี เพราะเขานั้นไม่ชอบการเป็นน้องน้อยเอาเสียเลย
ก่อนท่านพ่อแม่จะมีหรานเอ๋อร์ ลูกชายคนเล็กอย่างเขาจึงถูกพี่ชายที่รักใคร่ทั้งสองบีบแก้มบ้าง อุ้มบ้าง ทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ไฉนพี่ชายจึงทำเหมือนเขาเป็นเด็กผู้หญิงไปได้เล่า
ครั้นพอมีหรานเอ๋อร์ เลือดความเป็นพี่ในตัวก็สูบฉีด โดยลืมไปว่าตัวเขากับน้องสาวนั้นอายุห่างกันเพียงสองปี
“อาเฉิง...ไว้น้องสาวหายดีเจ้าค่อยมากอดน้อง ค่อยมาเล่นเป็นเพื่อนน้องนะ ตอนนี้ให้น้องพักผ่อนมากๆ ก่อน น้องจะได้หายดีโดยเร็ว” ไป๋ฮวาเอ่ยปลอบบุตรชายคนเล็กบ้าง
“ขอรับ”
ลลิลมองใบหน้าที่ยังมีความกลมเป็นก้อนแป้ง ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายคนเล็กแล้วก็อดยิ้มขันไม่ได้
ทั้งที่เธอตายไปแล้วและคิดว่าคงไม่ได้ไปเกิดบนสวรรค์แน่ เพราะตลอดชีวิตที่อยู่ในร่างของลลิล เธอนั้นไม่ค่อยได้เข้าวัดทำบุญสักเท่าไหร่ พอตายไปก็คงไม่พ้นตกนรก
แต่ใครจะคิดล่ะว่าเธอจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในร่างของเด็กหญิงห้าขวบ...ที่ยังคงมีความทรงจำจากชาติที่แล้วอยู่
และไม่เพียงแค่นั้น เธอยังจำเรื่องราวที่คล้ายกับความฝันที่วนเวียนอยู่ในหัวได้ดี...เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้เธอได้รู้ว่าชีวิตและจิตวิญญาณที่แท้จริงของเธอไม่ใช่มนุษย์!
แต่กลับเป็นเทพเซียนคนหนึ่ง แต่เป็นใคร ชื่ออะไร มีที่มาที่ไปอย่างนั้น ตอนนี้เธอยังไม่สามารถคาดเดาหรือนึกได้ เพราะแค่เธอเริ่มนึกถึงเรื่องนั้น อาการปวดหัวรุนแรงก็จะกำเริบขึ้นมาทันที
“ซี๊ด!” หลีเริ่นหรานซู้ดปาก เพราะเผลอคิดเรื่องที่ตนเป็นใครอีกแล้ว จึงถูกอาการปวดหัวโจมตี
“หรานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร?” ไป๋ฮวาเอ่ยถามบุตรสาวในอ้อมกอดอย่างร้อนรน
“ลูก...ลูกแค่รู้สึกปวดหัวเจ้าค่ะท่านแม่” ลลิลในร่างหลีเริ่นหรานเอ่ยตอบ
นี่ก็เป็นอีกเหตุผล ที่เธอเชื่อว่าตัวเองย้อนกลับมาเกิดอีกครั้งจริงๆ ทั้งยังทำให้สมมุติฐานที่เธอตั้งไว้ว่าตัวเองอาจเป็นเทพเซียนมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นเรื่องจริง เพราะขนาดภาษาจีนโบราณที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อนสักครั้งในชีวิต เธอยังสามารถพูดและฟังเข้าใจได้อย่างดี เหมือนเป็นเจ้าของภาษาเองก็ไม่ปาน
“ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าเจ้าพาลูกไปนอนเถอะฮูหยิน แล้วพรุ่งนี้พี่จะให้ท่านหมอมาตรวจดูหรานเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะท่านพี่” ไป๋ฮวารับคำ ก่อนจะอุ้มพาร่างบุตรสาวไปนอนที่ห้อง
“ข้าไปส่งน้องสาวเข้านอนด้วยขอรับ” หลีเฉิงเอ่ยขึ้นแล้วเดินตามมารดาไป
เมื่อมารดาและน้องชายน้องสาวเดินออกไปพ้นเรือนรับรอง หลีหลุนจึงได้หันมาทางบิดาที่นั่งตีสีหน้าเครียดอยู่
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้ากับอาหยางจะขึ้นไปเก็บของป่ามาขาย ท่านอย่าได้กังวลเรื่องค่าหมอเลยขอรับ”
“ใช่ขอรับท่านพ่อ” หลีหยางรับคำพี่ชาย
หลีหยุนมองลูกชายคนโตและคนรองด้วยสายตาพร่ามัว เพราะน้ำใสๆ เอ่อล้นมารวมตัวกันอยู่ที่ขอบตาปริ่มจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
นี่หรือที่เขาเรียกว่ามีบุตรกตัญญูนับเป็นโชคยิ่งกว่าได้ทอง บุตรชายทั้งสองเขานั้นนับว่าช่วยแบ่งเบาภาระได้มากโขที่เดียว เห็นอย่างนี้เขาเองก็ยิ่งสงสาร ทั้งหลีหลุนและหลีหยางควรจะได้มีอนาคตที่ดีกว่านี้
“พ่อขอบใจเจ้าทั้งสองมาก”
หลังจากฟื้นคืนสติมาได้ราวเมื่อสิบกว่าวันก่อน ลลิลก็ทำความเข้าใจและทำใจกับเหตุการณ์และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ เธอทำใจและยอมรับได้ถึงการต้องใช้ชีวิตอย่างสามัญชนคนธรรมดา หาใช่บุตรตรีของขุนนางชั้นสูงอย่างที่เห็นในภาพจำของร่างนี้ไม่
ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอรู้สึกสงสารครอบครัวสกุลหลีนี้มาก ที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกร้าย ถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสีจนต้องรับโทษ ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหลีสายตรงต้องนั้นต้องแปดเปื้อนและอับอาย เพียงเพื่อไม่ยอมก้มหัวให้พวกขุนนางกังฉินดึงไปเป็นพวก
“ฮึ่ย!” ร่างน้อยขบเขี้ยวเคี่ยวฟันอยู่คนเดียว ขณะที่กำลังนั่งเล่นอยู่หน้าเรือน เพราะชาติก่อนเธอมีอาชีพเป็นปลัดอำเภอหญิง ที่ต้องฝันฝ่าอุปสรรคไม่น้อยกว่าจะเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนและอำเภอที่ได้รับการบรรจุ เมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่เป็นธรรมต่อครอบครัว เธอจึงรู้สึกคับแค้นใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เพราะชาติก่อนเป็นเด็กกำพร้าและได้ผู้ใจบุญอุปถัมภ์ แม้จะได้รับความรักและความอบอุ่นทดแทนที่เคยขาดหายไป ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เธอลืมเลือนความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่เคยได้รับ
และในเมื่อชาตินี้เธอได้เกิดมาอีกครั้ง ในครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งพ่อแม่และพี่ชายอีกสามคน เธอจึงอดที่จะดีใจและรู้สึกผูกพันกับพวกเขาไม่ได้
และอดที่จะเคียดแค้นคนเล่านั้นที่ทำร้ายครอบครัวตนเองไม่ได้เช่นกัน!