ตอนที่ 10
เด็กหญิงหล้ามองพี่ชายใจดีที่ชื่อนักรบตาแป๋ว รอยยิ้มแจ่มใสไร้เดียงสาผุดขึ้นบนใบหน้า ส่งผลให้ปานใจและเด็กชายนักรบหันไปยิ้มให้กันและกันด้วยความสุข แต่ความสุขสำหรับเด็กหญิงหล้านั้นมันแสนสั้นนัก เพราะทันทีที่ถึงบ้าน ลมรำเพยที่ยืนจังก้ารออยู่หน้าบ้านพร้อมก้านมะยมที่รูดใบออกจนหมดซึ่งรวบไว้เต็มกำมือทำให้เด็กหญิงหล้าสั่นสะท้านจนก้าวขาเดินต่อไปไม่ออก แต่เพราะมีปานใจหนุนหลัง เด็กหญิงตัวน้อยจึงต้องเดินต่ออย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะแค่ถึงชานบ้านเสียงอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังแผดขึ้นลั่น
“อีหล้า! อีดอกดิน! มึงไปไหนมากลับมาซะป่านนี้ อีเวร! กูเกือบต้องไปแจ้งความแล้วไหมมึง อีนี่! เดี๋ยวแม่ตบซะ!” ลมรำเพยเงื้อมือเตรียมจะฟาดแต่เสียงร้องทักก็ทำให้ต้องลดมือลงอย่างขัดใจ
“เอ้าๆ ลม พูดจากับหลานให้มันดีๆ หน่อย ทำไมพูดจาแบบนี้ล่ะ”
ลมรำเพยเพิ่งหันมาเห็นว่าคนที่มากับหล้าคือคุณครูปานใจ สาวโรงงานวัย 23 ปี อย่างเธอจึงแบะปาก พร้อมกับพนมมือไหว้ด้วยความไม่เต็มใจ ซึ่งปานใจก็รับไหว้ ไม่ได้ถือสากิริยาที่ลมรำเพยทำ ผู้เป็นครูมองตรงไปยังหล้าที่เข้าไปซุกตัวชิดข้างฝา เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเต็มที่ ซึ่งกิริยานี้ทำให้เธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด แม้มันอาจจะเสี่ยงต่อชื่อเสียงและอาชีพการงานของเธอก็ตาม แต่ไม่ว่าใครก็คงปล่อยให้เด็กหญิงต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้
บรรยากาศในยามใกล้ค่ำ ขณะที่ไฟฟ้าตามรายทางยังเปิดไม่ครบ ทำให้ทางเดินในตลาดที่จะลัดเลาะไปยังบ้านซึ่งปลูกอยู่ด้านในสุดท้ายซอยค่อนข้างจะมืดสลัว แต่คนที่เดินอยู่นี้กลับมีความคิดและความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ปานใจคิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่พูดแบบนั้นออกไปเพราะไม่อย่างนั้นเด็กหญิงตัวน้อยอย่างหล้าอาจจะช้ำในตายเสียก่อนที่จะโตก็ได้
“อาปานครับ”
“หือ...ว่าไงครับรบ”
ปานใจหันมองหลานชายที่มีเค้าว่าจะหล่อมากในยามเป็นหนุ่ม เพราะแนวคิ้วดกดำและดวงตาคมเข้มที่ถอดแบบผู้เป็นพ่อมาอย่างไม่ผิดเพี้ยนนั้นล้อมกรอบราวกับลูกแก้วสีเขียวมรกตที่สะท้อนแวววาวในความสลัว มรดกจากผู้เป็นแม่ที่ทำให้รู้ว่าเด็กชายร่างสูงใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกันนี้มีเชื้อสายของฝั่งตะวันตกปะปนอยู่ด้วย
“ทำไมน้าของน้องหล้าต้องเรียกน้องหล้าว่าดอกดินด้วยล่ะครับ” เด็กชายเอ่ยถาม สีหน้าแสดงความสงสัยไม่เข้าใจ
“เอ่อ...ก็มัตติกาแปลว่าดินน่ะสิลูก และหล้าก็แปลว่าดินเหมือนกัน น้าเขาคงอยากพูดเปรียบเปรยเท่านั้นแหละลูก ไม่มีอะไรหรอก” คำถามของเด็กชายนักรบทำให้เธอรู้สึกตื้อในหัวใจไปชั่วครู่ เพราะไม่รู้จะสรรหาคำตอบใดที่ดูดีที่สุดสำหรับเด็กชายวัย 12 ปี อย่างเขาจะเข้าใจได้
“แต่น้าของน้องหล้าน่ากลัวมากเลยนะครับ อย่างนี้น้องหล้าจะถูกตีไหม”
“คงไม่แล้วละลูก เพราะอาจะไม่ยอมให้หล้าเขาต้องเจ็บตัวอีกแล้ว”
ปานใจโอบบ่าของเด็กชายที่โตตัวเกือบจะเท่าเธอมาใกล้พร้อมกับลูบหลังลูบไหล่เบาๆ คำว่า ‘น่ากลัว’ ที่เด็กชายนักรบพูดออกมานั้น คงไม่ใช่เพียงกิริยามารยาทที่ลมรำเพยทำ แต่คงหมายรวมถึงถ้อยคำไม่สุภาพที่น้าไม่ควรใช้กับหลานสาวของตัวเองด้วย ซึ่งสิ่งแวดล้อมแบบนี้เด็กชายนักรบไม่มีทางได้พบเจออย่างแน่นอน
“หล้าเขาจะได้เรียนหนังสือแล้วนะลูก รบก็เหมือนกัน ต้องตั้งใจเรียนให้มากนะ โตขึ้นก็ต้องดูแลพ่อดูแลแม่ด้วย แม้พ่อกับแม่เขาจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ทั้งพ่อและแม่เขารักรบนะลูก หายากนะที่สามีภรรยาแยกทางกันแต่ยังเป็นเพื่อนกันได้ แต่เพราะพ่อธานกับแม่แคทมีรบ ทั้งสองคนรักรบมาก ไม่อยากให้รบโตมาในสภาพแวดล้อมที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันทุกวัน การแยกกันอยู่แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ก็เหมือนแม่เขาไปทำงานต่างประเทศแหละลูก รบก็ยังได้เจอทั้งพ่อและแม่ และรบก็มีความสุขใช่ไหม”
“ครับอา รบมีความสุขมาก รบมีพ่อ มีแม่ มีคุณย่า มีอาปาน และรบก็มีแกรนด์มัมด้วยนะครับ หึๆ และตอนนี้ก็มีน้องหล้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน”
“จ้า...พี่ชายใจดี แล้วน้องรุ้งล่ะลูก” เด็กชายตัวโตของเธออมยิ้มอย่างมีความสุขยามพูดถึงเด็กหญิงหล้าแต่ก็ต้องหุบยิ้มอย่างเร็วเมื่อนึกถึงเด็กหญิงอีกคน
“รายนั้นนี่รบต้องทำยังไงล่ะครับอาปาน รบเอาตุ๊กตาที่ซื้อฝากยายรุ้งให้น้องหล้าไปแล้ว ถ้ากลับไปไม่มีของฝากมีหวังเธอบ่นไปอีกสิบวันแน่เลยครับ เด็กอะไรไม่รู้พูดมาก...ถ้าพูดน้อยกว่านั้นได้สักครึ่งก็คงจะดีครับ”
เด็กชายนักรบหมายความถึง ‘เด็กหญิงพราวรุ้ง’ ซึ่งพ่อของเธอรับราชการเป็นทหารเหมือนกับพ่อของเขา บ้านพักในกรมที่อยู่ใกล้กันทำให้เด็กหญิงพราวรุ้งสนิทสนมกับพี่ชายคนนี้มากเป็นพิเศษ ซึ่งตอนเป็นเด็กชายตัวน้อย นักรบก็จะดูแลน้องสาวคนนี้และยอมในทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่เมื่อเด็กชายตัวน้อยกำลังจะเปลี่ยนเป็นหนุ่มน้อย กับเด็กหญิงตัวเล็กพูดน้อยในวันวานกลับเปลี่ยนเป็นเด็กหญิงวัย 6 ปีที่พูดเก่งมากขึ้น เลยทำให้พี่ชายตัวโตเริ่มจะรำคาญ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายนักรบก็ยังคงเอ็นดูน้องสาวตัวน้อยอยู่เหมือนเดิม เพราะไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เขาก็ไม่ลืมซื้อของฝากสำหรับน้องสาวมาด้วยเสมอ
“หึๆ ดูพูดเข้า ไปเถอะกลับบ้านกัน ป่านนี้พ่อกับย่าทานข้าวอิ่มกันแล้วมั้ง เหลือแต่เราสองคนนี่แหละที่ท้องร้องจ๊อกๆ”
“โธ่ อาปาน ช่วยรบคิดเรื่องของฝากยายรุ้งก่อนสิครับ”
“จ้า..เดี๋ยวอาหาให้ รับรองยายรุ้งไม่บ่นรบแน่”
