รอยร้าว Ep.1
Ep.1
กลางดึกคืนหนึ่ง...
ณ กลางป่ารกร้างแห่งหนึ่ง มีงูยักษ์ตัวสีดำขนาดใหญ่กำลังเลื้อยด้วยความรวดเร็วตามเด็กผู้ชายที่สวมเสื้อไหมพรมสีน้ำเงิน เด็กน้อยคนนั้นวิ่งจนสุดแรง เสียงเล็กร้องเรียกหาแม่ ทว่ากลางป่านั้นไม่มีใครสักคน จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนนั้นเห็นคนเป็นพ่ออยู่ข้างหน้า เขาจึงรีบวิ่งตรงไปทางนั้น พลางหันมองงูยักษ์ที่อ้าปากขู่คำราม แต่ไม่ว่าจะวิ่งเร็วแค่ไหน เขาก็วิ่งไม่ถึงคนเป็นพ่อสักที และพ่อของเขาก็ได้แต่ยืนจ้องเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยลูกชายคนนี้แม้แต่น้อย เด็กน้อยคนนั้นจึงหันไปมองงูยักษ์อีกครั้ง และนั่นทำให้เขาตกใจสุดขีด เมื่อปากของงูมันใกล้เข้ามา...จนงับเขาเข้าไปในปากทั้งตัว...
Rrrrr!
...เฮือก!!
ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นหลังจากได้ยินเสียงริงโทนมือถือ เขานั่งหอบหายใจราวกับเมื่อครู่ได้วิ่งหนีงูมาจริงๆ พอตั้งสติได้จึงรู้ว่าตัวเองนั้นได้ฝันร้าย ก่อนที่สายตาคมจะตวัดไปมองเจ้าของเสียงปลุกที่ดังอยู่ข้างหมอนอย่างรำคาญ มือหนาคว้ามันมาอย่างไม่เต็มใจ พอเห็นว่าใครเป็นคนโทรมาชายหนุ่มก็ยิ่งหงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีก แต่เขาก็ต้องกดรับสายนี้
"ว่าไงพ่อ...โทรมาทำไมดึกดื่น" เสียงทุ้มติดหงุดหงิดเอ่ยถามปลายสายพลางขมวดคิ้ว ...คนกำลังหลับ นึกอยากจะโทรก็โทรมาได้งั้นเหรอ? ผิดที่เขาเองลืมปิดเสียงมือถือไว้ แต่ก็มีส่วนดีอยู่อย่าง...นั่นก็คือพ่อของเขาเป็นคนฉุดเขาออกมาจากฝันร้ายนั่น
(พรุ่งนี้แกอย่าลืมไปโรงมวยลุงแกล่ะ)
"เฮ้ออ~" ชายหนุ่มถอนหายใจ ที่แท้ก็โทรมาย้ำเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่เอง นี่ถ้าไม่เห็นแก่ร้านสักที่เขาสร้างมากับมือล่ะก็....จ้างให้ก็ไม่ไปสวมนวมสู้กับนักมวยหมัดหนักพวกนั้นหรอก "รู้แล้วน่าพ่อ...แค่นี้จะนอนแล้ว!..."
ติ๊ด!
สิ้นเสียงทุ้มของลูกชาย คนเป็นพ่อก็ตัดสายไปทันที ไม่ได้ตอบกลับรับคำอะไรให้เสียเวลา
ส่วนชายหนุ่มเมื่อเห็นปลายสายตัดไปดื้อๆ เขาก็ได้ดึงโทรศัพท์ออกมาจากหูแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองหน้าจอที่แสดงผลในหน้าโฮม จากนั้นก็โยนมือถือไว้ที่เดิม ก่อนจะลงมานอนก่ายหน้าผาก ส่ายไปส่ายมา ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง...สองชั่วโมง...สามชั่วโมงเขาก็ยังไม่หลับ จนต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลา หลีกเลี่ยงการฟุ้งซ่านของสมอง ที่เป็นมานานนับหลายปีก็ยังไม่หายไปสักที
วิน เป็นโรคนอนไม่หลับหลังจากฝันร้าย หากสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นอันจบสิ้นของการนอนหลับในคืนนั้นทันที เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้นแม่ของเขาคอยจับมือและโอบกอดในช่วงเวลาที่กำลังฝัน...ทุกอย่างจึงราบรื่นดี เขาไม่เคยสะดุ้งตื่น แต่ตั้งแต่แม่ของเขาจากไป จนตอนนี้อายุเข้า 32 แล้ว เขาก็ยังต้องทนกับการอดหลับอดนอน หากคืนไหนสะดุ้งตื่นตอนตีสี่ตีห้า...ถือว่าโชคดีมากเพราะไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า แต่หากวันไหนโชคร้ายสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนตีหนึ่ง...เขาก็ต้องทนนอนส่ายไปส่ายมา เล่นมือถือ หรือลุกขึ้นมาดูทีวีจนกว่าจะเช้า และเรื่องนี้เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังแม้กระทั่งเพื่อนในกลุ่ม เพราะหนึ่งเดือน...จะเป็นแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่มันก็เป็นทุกเดือน!
วันต่อมา...
ตอนเที่ยง
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้ามืดครึ้ม มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินร้องไห้สะอึกสะอื้นดวงตาแดงช้ำ ข้างทางมีรถวิ่งไม่มากมายนัก แต่ก็แลดูวุ่นวายในสายตาที่ทอประกายความสิ้นหวัง
ไอริน ทันตแพทย์สาววัย 26 ปี ทำงานใช้หนี้ทุนการศึกษาปีสุดท้ายอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง เธอคบหากับ ไนน์ ศัลยแพทย์หนุ่มวัย 28 ปี มานานถึง 5 ปี แต่จู่ๆ วันนี้เธอกลับได้รับการ์ดแต่งงานจากแฟนตัวเองโดยชื่อเจ้าบ่าวก็คือเขาแต่ชื่อเจ้าสาวกลับไม่ใช่เธอ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ไอรินต้องมาเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนท่ามกลางเม็ดฝนที่ตกหนักจนลืมนึกถึงสุขภาพตัวเองไปเลย
หนึ่งชั่วโมงก่อน...
"พี่ไนน์เรียกไอมาเจอที่นี่มีอะไรด่วนรึเปล่าคะ ไว้คุยกันที่ห้องตอนเย็นไม่ได้เหรอ?"
"เอ่อคือ...."
"......?" ไอรินฉีกยิ้ม เอียงศีรษะมองหน้าแฟนหนุ่มที่หลุบตาลงต่ำทำหน้าลำบากใจ จู่ๆ ไนน์ก็เรียกเธอออกมาเจอกันที่ร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ ส่วนไนน์พึ่งย้ายไปประจำที่โรงพยาบาลเอกชนมีชื่อเสียงที่อยู่ไม่ไกลกันได้ 6 เดือนกว่าๆ แล้ว
"อ่ะไอ..." ไนน์จิ้มซองจดหมายสีชมพูยื่นไปให้แฟนสาว ก่อนจะทำหน้าถอดสี "พี่ขอโทษนะไอ แต่พี่จะอธิบายให้ไอฟังเองนะ!" ก่อนที่ใบหน้านั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังด้วยอาการร้อนรน
ไอรินค่อยๆ หุบยิ้มลงแล้วมองหน้าแฟนหนุ่มสลับกับซองจดหมายแปลกๆ นั่น แต่แล้วเธอก็หยิบมันมาเปิดดู ดวงตากลมสั่นระริกไล่อ่านตัวหนังสือบนการ์ดพลางมือสั่นเมื่อเห็นชื่อเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะเริ่มแดง
"นะ..นี่มันเรื่องอะไรกันคะพี่ไนน์?" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยอย่างสั่นเครือ ไม่นานน้ำตาก็หยดลงเปื้อนแก้ม
"พี่อธิบายได้นะไอ คือแบบนี้!...ที่พี่แต่งงานกับนิด้าก็เพราะว่า ผอ. เขาจะเลื่อนตำแหน่งให้พี่ ถึงคราวที่พี่มีสิทธิ์มีเสียงเมื่อไหร่พี่สัญญาพี่จะหย่าแล้วมาแต่งงานกับไอนะ!" ไนน์ละล่ำละลักอธิบายอย่างร้อนรนพลางกุมมือแฟนสาวไว้แน่น เขาแต่งงานกับนิด้าลูกสาว ผอ. โรงพยาบาลเอ็นแอลก็เพื่อตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ใครกันจะอยากเสียสาวสวยที่มองมุมไหนก็เซ็กซี่อย่างไอรินไป นิด้าสวยเทียบเคียงก็จริง แต่เรื่องความเซ็กซี่ที่มองแล้วให้ความเร้าใจนิด้าสู้ไอรินไม่ได้สักนิด แต่ถึงยังไงคนเห็นแก่เงินและอำนาจเป็นที่หนึ่งอย่างไนน์ก็เลือกที่จะมองครอบครัวเป็นรองเสมอ
"พี่มีอะไรกับเธอแล้วใช่ไหมคะ?" ไอรินปาดน้ำตา ก่อนจะตวัดสายตามองคนที่กำลังจะเป็นอดีตแฟน เธอไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะยอมแต่งงานกับไนน์ง่ายๆ หากไม่ได้คบหากันอย่างลึกซึ้งมาก่อน
"เอ่อ...." ไนน์ก้มหน้าเล็กน้อยหลบดวงตาสวยคู่นั้น คำตอบมันจุกอยู่ที่อกเพราะรู้สึกผิดต่อคนตรงหน้า "พี่คบกับนิด้าได้ปีนึงแล้ว..."
"ปีนึง เหอะ!..." ไอรินอุทานออกมา ก่อนที่เธอจะหัวเราะแล้วเบือนหน้าหนีคนสารเลวตรงหน้า "พี่คบกับเธอตั้งแต่ตอนที่อยู่โรงพยาบาลนี้ คบซ้อนกับไอเนี่ยนะ?"
"ไอ!..ไอ!..ไอฟังพี่ก่อน! พี่ไม่ได้รักนิด้าเลย ที่ทำไปก็เพื่ออนาคตเรานะ" เป็นอีกครั้งที่ไนน์เอื้อมมาคว้ามือบางไปกุมไว้แล้วแสดงความจริงใจต่อคำพูด "ถึงพี่จะแต่งงานแต่พี่ก็จะพยายามมานอนมาใช้ชีวิตอยู่กับไอให้ได้มากที่สุดนะ แค่เราไม่ต้องใกล้ชิดกันข้างนอก อดทนสักสองสามปีพี่สัญญะ!..."
ซ่าาาาา!!!
"ไอ้คนเฮงซวย!"
ปึก!!
ไอรินเค้นเสียงด่ารอดไรฟันหลังจากลุกขึ้นยืนเอาน้ำนมสดคาราเมลเย็นในแก้วสาดใส่หน้าอดีตแฟนจนเปียกไปทั้งหน้า ก่อนที่เธอจะวางแก้วลงกระแทกกับโต๊ะแล้วกระชากกระเป๋าสะพายข้างเดินออกมาจากร้านแล้วขับรถสปอร์ตที่ยังผ่อนไม่หมดไปตามทางอย่างไม่รู้จุดหมาย รู้ตัวอีกทีฝนก็ตกหนักแล้วความอ่อนแอก็เริ่มกัดกินใจจนต้องจอดรถแล้วลงเดินไปตามข้างทางอย่างไร้จุดหมาย
ณ ปัจจุบัน
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะทำตัวเข้มแข็งสาดน้ำใส่หน้าไนน์มา แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ทำให้จิตใจของไอรินอ่อนแอลงเมื่อนึกถึงช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เธอทั้งรักและซื่อสัตย์กับไนน์มาตลอด วาดฝันอนาคตสวยๆ กับครอบครัวเล็กๆ ที่คิดว่าจะสร้าง ความรักและความผูกพันธ์ที่มีทำให้ไอรินเหมือนตายทั้งเป็นเมื่อรู้ว่าคนที่ไว้ใจและเชื่อใจที่สุดจะไม่ได้อยู่ข้างกายอีกแล้ว เพราะนอกจากไนน์แล้วไอรินก็ไม่มีใครอีก เธอโดนครอบครัวทิ้งไว้จนกลายเป็นเด็กกำพร้าและเติบโตในบ้านเด็กกำพร้าที่ต่างจังหวัด จนโชคดีสอบติดทุนเรียนทันตแพทย์และได้เจอรุ่นพี่อย่างไนน์คอยดูแลเอาใจใส่ หลังจากที่คบหากันไนน์จึงเป็นครอบครัวคนเดียวของเธอที่เธอสามารถพึ่งพาและแบ่งเบาช่วยเหลือมอบสิ่งที่ขาดหายให้กันได้ แม้ไนน์จะมีนิสัยทะเยอทะยานจนเกินไปแต่เธอก็มองในแง่ดีเสมอว่าเขาทำเพื่อครอบครัว
"ฉันไร้ค่าขนาดนั้นเลยเหรอ ทุกคนถึงทิ้งฉันกันไปหมด..." น้ำเสียงสิ้นหวังตัดพ้อขึ้นขณะยืนหันหน้าเข้าหาถนนพลางกดสายตามองต่ำลงไปที่พื้น มือบางกำลงแล้วขยี้อยู่ที่หน้าอกข้างซ้ายช้าๆ รอยร้าวในหัวใจกำเริบขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนตอนเด็กๆ
"ฉันควรจะหยุดใช้ชีวิตได้แล้วล่ะ เหนื่อยมากจริงๆ" หลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะจากโลกนี้ไป ไอรินก็เดินไปกลางถนนช้าๆ อย่างคนเหม่อลอยท่ามกลางฝนที่ตกไม่หยุด จนกระทั่งมีแสงไฟสีขาวสาดส่องเข้ามาเต็มหน้า ไอรินจึงยกมือขึ้นมาบังใบหน้าไว้แล้วหลับตาปี๋เตรียมจากโลกนี้ไป
อีกด้าน
ในรถสปอร์ตคันหรูสีเหลืองที่กำลังเปิดเพลงร็อคดังสนั่นไปทั้งคันโดยมีเจ้าของรถกำลังโยกหัวพลางใช้ฝ่ามือตีพวงมาลัยเป็นจังหวะตามเสียงเพลงอย่างคึกคะนอง ส่วนเท้าก็เหยียบคันเร่งนำรถฝ่าสายฝนที่ตกลงมาด้วยความรวดเร็วอย่างไม่กลัวอุบัติเหตุ จนกระทั่ง...
"เห้ย! เชี่ยไรวะน่ะ!!"
เอี๊ยดดด!!!
โครมมม!!!
"ชิบ!...หมดกันรถกู!!" วินสบถรอดไรฟันหูตาร้อนผ่าวด้วยความโกรธเมื่อรถที่เป็นดั่งลูกรักชนเข้ากับแบริเออร์คอนกรีตที่กั้นทางเต็มๆ ส่วนตัวเขานั้นไม่ได้เจ็บแม้แต่นิดเพราะได้อุปกรณ์เซฟตี้ช่วยชีวิตไว้ ...คนกำลังพึ่งกลับมาจากการซ้อมมวยเหนื่อยๆ ทำไมต้องมาซวยแบบนี้ด้วย!
"แม่งผีหรือคนวะสัสเอ้ย!! ถ้าเป็นผีนะกูจะไปเหมาหลวงพ่อเก้าวัดมาปราบเลย!"
ปึก!
ร่างสูงเปิดประตูลงมาดูสภาพรถคันโปรดที่พังยับตรงช่วงด้านหน้าท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำเทลงมา ยิ่งเห็นสภาพของมันเขาก็ยิ่งโมโหรีบหันหาตัวต้นเหตุ แต่เนื่องจากสายฝนที่ตกเทลงมาหนาตึบจนทำให้ทุกอย่างมันฝ้าฟางไปหมด ดวงตาคมจึงต้องหรี่ลงพยายามมองหาสิ่งมีชีวิต
ทางด้านไอริน ดวงตากลมแดงช้ำค่อยๆ ลืมขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงโครมใหญ่ดังขึ้นไม่ไกล เธอค่อยๆ ปรับร่างกายให้ผ่อนคลายจากความเกร็ง หัวใจที่เต้นเร็วและแรงทำให้ไอรินรู้ตัวว่ายังมีชีวิตอยู่
"รถคันนั้นหักหลบฉันงั้นเหรอ?" ไอรินเพ่งมองรถที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ไม่ไกลอย่างเป็นห่วง ก่อนที่เธอจะสาวเท้ามุ่งตรงไปที่รถคันนั้นเพราะกลัวคนขับจะบาดเจ็บหนัก แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ กลับเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนเอามือป้องไว้ที่หน้าผากกันน้ำฝนเข้าตา ไอรินจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เขานั้นไม่ได้บาดเจ็บเพราะการกระทำโง่ๆ ของตัวเอง แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งกับเสียงเข้มที่ตวาดใส่มา
"คิดว่ารถไม่กล้าชนคนบ้ารึไงห๊ะ!!!"