บทย่อ
นางได้แต่แอบรักเขาและเฝ้ามองเขาจากที่ไกล ๆ เช่นนั้นอย่างคนขี้ขลาด สุดท้ายเมื่อเขาจากไปก่อนวัยอันควร ก็ทำได้เพียงแค่ร้องไห้ที่หน้าหลุมศพเขาเท่านั้น หากย้อนกลับไปได้..นางอยากจะทำให้เขาจดจำนางได้สักครั้ง
บทนำ
บทนำ
ยามเหมันต์มาเยือนทุกสรรพสิ่งล้วนได้รับผลกระทบ พืชพันธุ์หลายอย่างถูกแช่แข็ง ถนนหนทางสัญจรล้วนถูกปิด สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนก็ต้องปรับตัวกับความเหน็บหนาว เพื่อให้อยู่รอดจากความหนาวเย็นที่กำลังกัดกินจิตวิญญาณ...........
แม้ว่าหลายสิ่งจะหยุดนิ่ง แต่ยังคงมีสตรีนางหนึ่ง ที่แม้ว่าความหนาวเย็นจะทวีความรุนแรงเพียงใดแต่กิจวัตรของนางไม่เคยต้องว่างเว้นลงเลยสักวัน
มือเหี่ยวย่นค่อย ๆ จับผ้าทำความสะอาดป้ายวิญญาณที่มีสิ่งสกปรกติดอยู่มากมายอย่างทะนุถนอม นางทำราวกลับกลัวว่ามันจะแตกหักเสียหาย ก่อนหน้านั้นนางเพิ่งใช้อุปกรณ์ตักหิมะกองโตออกจากบริเวณนั้นออกไปจนหมดด้วยตนเองเพียงคนเดียว
แม้จะรู้ว่าอย่างไรพรุ่งนี้....ที่นี่ก็ต้องกลับมาเป็นเฉกเช่นเดิม รู้ว่าอย่างไรหิมะก็ต้องตกหนักจนทับถมทั่วบริเวณแห่งนี้
แต่ถึงเป็นเช่นนั้น....นางก็ยังยินดีที่จะทำ
หากมีหิมะตกลงมาแล้วอย่างไร นางตักออกไปได้ก็แล้วกัน อีกทั้งนางก็ทำเช่นนี้มาเป็นเวลาหกสิบกว่าปีแล้ว
นางไม่อยากให้เขาต้องทนอยู่ในซากของความหนาวเย็น.........
และอยู่เงียบเหงาอยู่เพียงผู้เดียว
ที่จริงแล้วจะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก ต้องกล่าวว่า คงเป็นเพราะนางเองที่ทนต่อความคิดถึงเขาไม่ไหวเสียมากกว่า จึงได้มาที่แห่งนี้รวมถึงทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ว่างเว้นสักวัน
นางคิดถึงเขา อยากพูดคุยกับเขา อยากมาทวนความจำของเขาว่าจำชื่อนางได้บ้างหรือไม่
เวลาผ่านไปมากเพียงนี้ เขาคงรู้จักนางและจดจำนางได้แล้วใช่หรือไม่ นางคิดเองเออเองอยู่ทุกวันเป็นเวลาหลายสิบปี
เพราะถ้าหากเขาจำนางไม่ได้.....นี่จะดูใจร้ายเกินไปกระมัง
แต่นางคงไม่รู้ว่า เขาไม่มีโอกาสได้รับรู้สิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย....เพราะการรับรู้ของเขามันถูกตัดขาดยามที่ต้องลาลับจากโลกนี้ไปเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว
ซึ่งเรื่องเหล่านี้นางไม่รู้หรือบางครั้งอาจจะแสร้งไม่รู้ก็เป็นได้.......
นางสบายใจที่จะทำเช่นนี้
เมื่อกลับมาสู่ความจริงในปัจจุบัน น่าเสียดายที่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ นางคงจะกระทำมันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
เบื้องหน้านางคือต้นไม้ต้นใหญ่ที่ไร้สีเขียว มีเพียงกิ่งก้านที่แผ่สาขาออกไป มองดูแล้วเหมือนกับว่ามันกำลังยืนต้นตายก็ไม่ปาน คงเหมือนกับนางตอนนี้.....
ร่างผอมบางทรุดลงข้างป้ายวิญญาณที่ตนเฝ้าทะลุถนอมมาหลายปีอย่างทรงตัวไม่ได้ ผ้าคลุมศีรษะหลุดลงเผยให้เห็นเส้นผมสีดอกเลา นัยน์ตาแดงก่ำที่เอ่อล้นด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจ
‘เหตุใดเขาถึงต้องจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ในขณะที่นางกลับมีอายุยืนยาวมาจนสีผมแปรเปลี่ยนเช่นนี้’
แม้ว่าตอนนี้นางเองก็มีวันที่ต้องจะจากไปเช่นเดียวกับเขาแต่นั่นก็เพราะอายุขัยของสังขารที่มาก แต่....หากย้อนไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมานางทำงานหนักเหลือเกิน ทั้งทุกวันนางยังต้องมาที่นี่ เดินขึ้นเขามายังที่แห่งนี้ รวมถึงยามเหมันต์เช่นนี้ นางก็ยังตากหิมะมานั่งคุยกับเขาทุกวัน กว่าจะผ่านพ้นฤดูกาลเหมันต์ก็เป็นเวลาหลายเดือน
แต่ร่างกายของนางกลับแข็งแรงและไม่เป็นอันใดเลยสักนิด ทั้งที่นางเป็นสตรีชาวบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่มิได้ดีเลยแม้แต่น้อย
ต่างกับเขา.....ชีวิตของเขาดีกว่านางนัก มีชีวิตที่ดี มีอาหารที่ดี มีอาภรณ์ที่สวมแล้วอบอุ่นในยามเหมันต์มาเยือน มีบ้านเรือนหลังใหญ่โต แต่แล้วเหตุใด....เขาถึงได้จากไปเร็วนัก
เบื้องบนช่างไม่ยุติธรรม!
ให้เขาจากไปก่อนวัยอันควร
และที่สำคัญยามที่เขาจากไป.....นางยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขาเลยสักครั้ง.......
นางไม่อาจเอื้อมได้เคียงคู่กับเขา แต่....ขอแค่นางได้เอ่ยนามของตนให้เขาจดจำชื่อของนางได้แค่ชั่วเวลาหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วจะได้หรือไม่
แต่....
สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันเป็นจริง
ลมหายใจที่เริ่มขาดห้วง ดวงตาใกล้ปิดลง ในช่วงเวลานั้น นางกลับกล่าวบางอย่างขึ้นอย่างเลื่อนลอย
“หากเบื้องบนยังเมตตา ขอให้ข้าได้กลับไปพบเขาอีกสักครั้งได้หรือไม่ ขอให้ข้าได้บอกเขาว่ามีนามว่าอันใด ขอให้ข้าได้บอกเขาสักครั้ง หากเขาจดจำข้าได้.... บ้างก็คงจะดี โอกาสเช่นนี้....จะมีให้ข้าบ้างได้หรือไม่” กล่าวจบดวงตาก็ปิดลง นางคิดว่านี่คงเป็นคำขอลม ๆ แล้ง ๆ ที่คงไม่ได้รับการตอบรับอันใดกลับมา
แต่ไม่น่าเชื่อว่าก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะถูกช่วงชิงไป นางกลับได้ยินเสียงอบอุ่นสายหนึ่งล่องลอยมาตามสายลมว่า ‘ได้ ข้ามอบโอกาสนี้ให้กับเจ้า’
เพียงเท่านั้นรอยยิ้มก็เกิดขึ้นเต็มใบหน้าพร้อมกับร่างของหญิงชราที่ค่อย ๆ หลับใหลข้างหลุมศพของบุรุษที่ตนแอบรักมาหลายปี