Supreme
เธอ..
อื้มม
“ฟินอะ” ผมกระซิบข้างหูพี่ส้ม ซึ่งเรากำลังทำกันอยู่บนอ่างล้างหน้า อีกฝ่ายขยับขาเป็นรูปตัวเอ็ม ส่วนผมกำลังจับเอวของเธอทั้งสองข้างก่อนที่เอวของผมจะกระตุกสามครั้ง ส่วนพี่ส้มกำลังหอบเพราะหายใจไม่คล่อง
.
“เธอขาวมากเลยอะ” ผมกล่าวพลางโอบกอดพี่ส้มจากเบื้องหลัง ซึ่งในตอนนี้ผมกำลังอาบน้ำให้พี่ส้มอยู่ รวมถึงตัวผมเองที่ถูสบูให้ตัวเองด้วย
“เธอเค้าเหนื่อย” พี่ส้มกล่าว ที่จริงแล้วดูเหมือนเธอจะยืนไม่ไหวผมก็เลยมายืนค้ำไว้ให้ ขาเธอสั่นไปหมดก่อนที่พี่ส้มจะหันกลับมากอดผม
“งั้นเราไปนอนกันนะครับ” ผมกล่าวก่อนจะก้มลงไปจูบพี่ส้มและอุ้มร่างของพี่ส้มขึ้นมาพร้อมกับเดินไปที่เตียง เราทั้งคู่ไม่ได้สวมใส่ชุดอะไรเลย มีเพียงผ้าเช็ดตัวที่ผมเช็ดร่างให้พี่ส้มและเช็ดร่างของตัวเองก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียง
แอร์เย็นๆ
ไฟสลัวๆ
ร่างสองร่างได้นอนกอดกันภายใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงนุ่มๆ เราทั้งสองได้หลับไปในที่สุดด้วยความเหนื่อยล้าและมึนเมาจากเหล้า
.
.
.
“อื้อ…” ผมส่งเสียงออกมาด้วยความปวดเมื่อยไหล่ เพราะพี่ส้มนอนซบบนไหล่ของผมทั้งคืน และในตอนนี้เธอก็ยังนอนซบไหล่ผมอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้กล่าวอะไร ผมรู้สึกดีมาก ก่อนที่ผมจะยื่นหน้าไปหอมแก้มของพี่ส้ม
“หืม…” พี่ส้มส่งเสียงออกมาเมื่อผมกวนเธอตอนหลับ ทำให้เธอลืมตาขึ้นช้าๆและเราได้จ้องตากัน ผมยิ้มออกมาทันที
“ยิ้มอะไร…” ก่อนที่พี่ส้มจะดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้า
“พี่น่ารัก” ผมกล่าวก่อนจะก้มหน้าลงไปหอมหัวพี่ส้ม
กริ้งง กริ้งง
“ครับ?” ผมรับสายโทรศัพท์ของโรงแรมแล้วตอบรับ
“มีคนรอพบคุณอยู่ชั้นล็อบบี้นะคะ" พนักงานกล่าวก่อนที่ผมจะตัดสายไป ผมรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ และคนที่จะมาทำอะไรแบบนี้ คงไม่ใช่ครอบครัวของผม และคงไม่ใช่พี่ชมพูหรือเกมแน่ๆ
“ไปแต่งตัวกัน…เค้ามีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย” ผมกล่าวกับพี่ส้มก่อนจะค่อยๆเอนหลังพี่ส้มขึ้นมานั่ง ทำให้ผ้าห่มที่ปิดร่างสวยของเธออยู่หลุดลงไป ผมถึงกับเม้มปากเลยทีเดียว แต่พี่ส้มก็ไม่ได้ปกปิดแต่อย่างใด กลับกันเธอยื่นตัวมากอดผมด้วยซ้ำ
“เค้าไม่ได้ไปไหน…เราไปด้วยกันนี่ไงครับ” ผมกล่าวพร้อมกับใช้แขนข้างซ้ายแนบไว้ที่ข้อพักตรงเข่าของพี่ส้ม และใช้แขนอีกข้างแนบไว้ที่หลังของพี่ส้มและยกร่างเธอขึ้นจากที่นอนไปที่ห้องน้ำ
เราจัดการล้างหน้าแปรงฟันเป็นที่เรียบร้อย โดยที่โรงแรมได้เตรียมอุปกรณ์เช็ดเครื่องสำอางสำหรับผู้หญิงไว้ด้วย ซึ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น และในระหว่างที่พี่ส้มกำลังเช็ดหน้าเช็ดตา ผมก็อาบน้ำไปพลางๆ
กริ้งๆ กริ้งๆ
“ครับ” เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดคลุมอาบน้ำ ก็มีสายโทรสัพท์ของโรงแรมดังขึ้นทันที
“พวกเขากำลังรอคุณอยู่นะคะ” ปลายสายกล่าว
“ให้พวกเขาขึ้นมาที่ห้องอาหารได้ไหมครับ?” ผมกล่าวถาม ซึ่งในตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าๆแล้ว คนกินข้าวน่าจะไม่ค่อยมี และถ้าหากพนักงานตอบรับแสดงว่า
“ได้ค่ะ” ปลายสายตอบกลับ ซึ่งผมก็ตัดสายไปในทันที
‘แสดงว่าเป็นคนที่มีอิทธิพลสินะ…ถ้าไม่ใช่ตำรวจก็น่าจะเกี่ยวข้องกับโรงแรมนี้’ ผมคิดในใจก่อนที่พี่ส้มจะออกมาจากห้องน้ำ และเธอก็สวมเสื้อคลุมอาบน้ำไว้เช่นกัน และเธอมาด้วยหน้าสด หน้าตาของเธอดูน่ารักใสๆมากกว่าที่แต่งหน้าเสียอีก ผมชอบแบบนี้มากกว่า
“ไปกินข้าวกันครับ” ผมกล่าวก่อนจะกอดพี่ส้มแน่นๆ ซึ่งเธอก็ตอบกอดผมเช่นกัน สีหน้าของเธอดูมีความสุขมาก และพวกเราก็ได้ลงไปชั้นที่สามซึ่งเป็นชั้นห้องรับประทานอาหารหรูด้วยชุดที่ผมสั่งให้พนักงานไปซื้อมา มันคือเสื้อเชิ้ตลายดอกและกางเกงขาสั้นสีเหมือนกัน ราวกับเราทั้งคู่กำลังจะไปเล่นสงกรานต์
ณ ห้องอาหารหรู Oasis
“อืม…” ผมส่งเสียงออกมาเมื่อเราเข้ามาในห้องอาหาร ผมได้เห็นคนต่างชาติราวๆสองกลุ่ม และคนแปลกๆอีกกลุ่มนึง ซี่งพวกเขานั่งกระจายอยู่ทั่วห้องในชุดสีดำ และเชิ้ตสีขาว ผมมั่นใจว่าพวกเขามาด้วยกัน
ซึ่งผมก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขา ผมเดินจูงมือพี่ส้มไปยังที่ตักอาหาร และอาหารทั้งหมดเรากินได้ไม่อั้น แต่ละอย่างถ้าสั่งเป็นจาน น่าจะจานละ 500 บาทขึ้นไปอย่างแน่นอน เราทั้งสองก็หยิบที่อยากกินมาสองสามจานและเดินไปนั่งโต๊ะที่ใกล้กระจก
“สวัสดีครับ” และเมื่อเราวางจานอาหารบนโต๊ะ ชายชุดดำคนหนึ่งก็เดินมาหาเราทันที
“นั่งก่อนครับ” ผมกล่าวก่อนจะยกจานอาหารของพี่ส้มมาข้างผม และส่งสายตาให้พี่ส้มมานั่งข้างๆผม
“ไม่ต้องกลัว…พี่เขาใจดี” ผมกล่าวกับพี่ส้มและมันทำให้ชายคนนั้นเริ่มสับสนในการกระทำของผม และเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น
[คุณส่งรูปภาพ]
[ทีคุยงานอยู่นะครับ]
และเมื่อชายคนนั้นนั่งลง ผมก็ได้ถ่ายรูปเขาส่งไปให้พี่เอม โดยที่พี่เอมก็ส่งรูปตอบกลับผมมาแต่ผมยังไม่ได้เปิดดู ผมปิดโทรศัพท์ไปซะก่อน ซึ่งชายคนนั้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมถ่ายรูป เพราะคิดว่าผมคงไม่ทำอะไรโง่ๆแน่
“ชายคนนี้เขาเป็นเพียงนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งเองครับ”
“แต่ทักษะการต่อสู้ของเขาดูเหมือนจะเหนือกว่าหน่วยรบพิเศษเสียอีก” เสียงข่าวดังมาจากทีวีที่ติดอยู่บนเพดาน ผมไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคนที่นักข่าวกล่าวถึงคือใคร ข่าวของผมคงจะออกไปทุกช่องแล้ว แต่คงจะหาตัวผมยากหน่อยเพราะเขาเซ็นเซอร์หน้าผมไว้
“ทหาร…ตำรวจ…หรือรัฐครับ?” ผมกล่าวพลางใช้มีดตัดแบ่งไข่ม้วนแซลม่อนและนำไปวางบนจานอาหารของพี่ส้ม ซึ่งพี่ส้มก็ยิ้มให้กับผมและเธอมีท่าทางเกร็งๆเป็นอย่างมาก โดยเธอกำลังตั้งใจดูข่าวอยู่ด้วย
“รัฐ…” เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบกลับผมจึงกล่าวก่อนจะหยิบน้ำส้มคั้นขึ้นมาดื่ม
“ต้องการอะไรจากผมครับ?” ผมกล่าวอีกครั้งก่อนจะหันไปมองรอบๆ ซึ่งสายตาของผมก็มองไปที่ชายที่นั่งกระจายอยูารอบห้องอาหาร พวกเขาสบตากับผมและรีบหลบตาทันที ด้วยท่าทางแปลกๆนั้นทำไมผมจะไม่รู้?
และการกระทำของผมทำให้ชายที่นั่งตรงข้ามผมถึงกับยกยิ้มมุมปากทันที และหันกลับไปมองพวกเขาเช่นกันพร้อมกับหันกลับมาและหยิบขนมปังปิ้งทาแยมสตอเบอรี่ที่ผมนำมาขึ้นมากิน
“นั่นของผมนะครับ” ผมกล่าวแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางทวงคืน
“ฮ่าๆ…ผมชอบคุณว่ะ”
“มาทำงานกับผมไหม?” อีกฝ่ายกล่าวก่อนจะหยิบหมวกออกจากหัว เผยให้เห็นผมดำที่มีผมสีขาวติดอยู่ด้วย น่าจะเป็นคนมีอายุพอสมควรเลยทีเดียว แต่การวางท่า และสายตาของเขามันดูมีแรงกดดันและมีอำนาจเป็นอย่างมาก
‘Supreme’ ผมคิดในใจเกี่ยวกับชื่อของพวกเขา ซูพรีมคือบริษัทบอดี้การ์ดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หัวหน้าของเขาก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าของผม เบนซ์ ถ้าหากนับแล้ว คนที่มีเหรียญกล้าหาญรองมาจากผมในชีวิตที่แล้วก็คือเบนซ์ แต่เขาออกจากวงการทหารไปตั้งนานแล้ว และเพราะความกระหายสงครามของเขายังคงอยู่ ก็เลยตั้งกลุ่มทหารรับจ้างขึ้น และสุดท้ายก็ผันตัวมาทำบริษัทบอดี้การ์ด
แต่งานหลักของซูพรีมมีมากกว่านั้น พวกเขามีอำนาจพอสมควรเลยทีเดียว พวกเขาเสมือนกับเป็นฟรีแลนซ์ที่รับเก็บงานพวกหนักแผ่นดิน และคอยช่วยเหลือรัฐบาลโดยตรง พวกทหารยังคงขอความช่วยเหลือจากพวกเขา มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ออร่าของเขาจะดูน่าเกรงขามขนาดนี้
“ผมไม่รับราชการครับ”
“อีกอย่าง…ผมเป็นแค่เด็กปีหนึ่งเองครับ” ผมกล่าวออกไปตรงๆทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆๆ…ไม่ต้องห่วง” เขาตอบกลับมาสั้นๆราวกับรู้ว่าผมต้องการอะไร
‘ผมไม่ปฏิเสธนะ…ถ้าเป็นคุณเบนซ์’
‘ถึงแม้เราจะเคยเจอกันไม่กี่ครั้งและพูดคุยเพียงทักทาย’
‘แต่ทุกๆการประชุมที่มีเขาอยู่’
‘เขาเป็นคนรักพวกพ้องมากและจุดยืนของเขาชัดเจน’ ผมคิดในใจและยิ้มออกมา
“คุณจะให้ผมทำงานอะไรครับ?” ผมกล่าวถามก่อนจะวางมือลงบนขาอ่อนของพี่ส้ม ทำให้พี่ส้มถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ผ่อนคลายลงเมื่อได้หันมามองหน้าผม สีหน้าของผมบอกว่าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ในเมื่อผมอยู่ตรงนี้
“เราจะติดต่องานไปให้ทีหลัง…จะรับหรือไม่รับก็ได้”
“แต่ก่อนหน้านั้นอาจจะต้องทดสอบฝีมือกันก่อน” เมื่อเบนซ์กล่าวออกมา ผมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ในช่วงนี้เขาอาจจะต้องการกำลังคนที่แข็งแกร่งเพื่อต่อรองกับรัฐบาลในการเพิ่มอำนาจของพวกเขา ยิ่งผมกลายเป็นจุดสนใจในตอนนี้อยู่ด้วย
“แน่นอนว่าฝีมือและทักษะของคุณผมเห็นมาแล้ว”
“แต่ผมอยากเห็นกับตา" เบนซ์กล่าวอีกครั้งก่อนจะหันไปมองพวกข้างหลัง
“ไม่มีปัญหา”
“คนที่คุณพามาคงจะเป็นมือใหม่” ผมกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืน ทำให้คุณเบนซ์ตกใจเล็กน้อยและเขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคนทันที
“จัดการทุกอย่างด้วย…เราจะรับผิดชอบความเสียหายเอง” คุณเบนซ์กล่าวให้ผมได้ยิน ซึ่งพนักงานก็ได้รับวอร์ทันที และพวกเขาก็เดินไปพาคนต่างชาติออกไปและปิดห้องอาหารลง
“เธอนั่งรอเค้าสักแปปนึงนะ…” ผมกล่าวกับพี่ส้มและลูบหัวเธออย่างอ่อนโยนก่อนจะหันไปมองคุณเบนซ์
“เต็มที่เลย” คุณเบนซ์กล่าวก่อนจะหันไปมองพี่ส้มและยิ้มให้กับเธอ
ฟึบๆๆๆ
และเมื่อผมเริ่มก้าวท้าวเดินออกจากโต๊ะ พวกเขาทั้งหกคนก็ลุกขึ้นมาและวิ่งมารวมกันทันที พร้อมกับตั้งท่าเตรียมโจมตีตามที่ฝึกมา และมันทำให้ผมถึงกับยิ้มแห้ง ส่วนทั้งสองคนข้างหลังของผม คุณเบนซ์กำลังพยายามชวนพี่ส้มคุยเพื่อให้เธอไม่เกร็ง ผมจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับสถานการณ์ตรงหน้า
“…” ผมเดินเข้าไปหาพวกเขาเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็ยังไม่มีใครออกมาเผชิญหน้ากับผม ทำให้ผมเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีกและหยุดลง ซึ่งเราห่างกันไม่ถึงสองเมตรด้วยซ้ำ สายตาของพวกเขาจับจ้องผมอย่างนิ่งเงียบ
‘เขาคงจะให้ผมเทรนเจ้าพวกนี้ให้แน่เลย’ ผมคิดในใจ เขาคิดว่าถ้าความสามารถของผมเป็นของจริง ผมจะได้สั่งสอนหกคนนี้ และทั้งหกอาจจะกลายเป็นลูกทีมของผม เพราะการมาของเขา ไม่ได้มาเพราะเชิญผมเข้าร่วม แต่มาเพราะเชิญผมไปเป็นคนตัดสินใจ หรือหัวหน้างาน
“ก็ได้ๆ” ผมกล่าวเมื่อพวกเขายังคงนิ่งอยู่ ผมจึงพุ่งเข้าไปหาคนที่ใกล้ที่สุดและใช้ความเร็วเตะตัดขาของเขา แต่ผมทำไม่สำเร็จ ด้วยร่างกายของพวกเขาที่ถูกฝึกมานั้นแข็งแกร่งกว่าร่างกายของผมมาก
‘หลังจากนี้ต้องออกกำลังกายหนักๆแล้วสินะ’ ผมคิดในใจก่อนที่จะมีชายคนนึงพุ่งเข้าใส่ผม แต่ผมก็สามารถถีบตัวออกมาจากเขาทัน
ฟึบๆๆๆ
ผลั๊วะ
“ไม่หลับ”
ผลั๊วะ
“หลับ” ผมกล่าวเมื่อได้ใช้สันมือตบไปที่คอของชายคนนึง แต่เขาเพียงแค่ทรุดลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น ผมจึงสับไปอีกครั้งนึงและทำให้เขาปล่อยตัวลงไปนอนในทันที
ฟึบ ผลั๊วะ
เพียงพริบตา ก็มีชายอีกคนเข้ามาด้านข้างของผมและออกหมัดใส่ผม แต่ผมก็ได้ใช้ศอกปัดหมัดและแขนของเขาขึ้นฟ้าและปล่อยหมัดตรงไปที่ปลายคางของเขาทันที ทำให้เขาเซไปข้างหลังและล้มลงไปนั่งชันเข่าบนพื้น
ฟุบ ฟึบ ตุบ
และก็มีอีกคนนึงพุ่งเข้ามาหาผมต่อ เขาพุ่งมาหวังจะรัดตัวผมไว้ แต่ผมก็ได้ถอยห่างออกไปคืบนึงและผลักมือของตัวเองไปชนกับหน้าอกของเขา ทำให้เขาเสียหลักและผมก็ได้ใช้ฝ่ามือล่างทั้งสองข้างกระแทกไปที่บริเวณปลายคางและขมับของเขาจนทำให้ร่างของเขาร่วงหล่นไปนอนบนพื้นทันที
“ชิ!” ชายร่างใหญ่ส่งเสียงออกมาด้วยความโมโหและพุ่งเข้ามาหาผม เขาไล่ต้อนผมด้วยความแข็งแกร่งทำให้ผมเป็นฝ่ายรับมือที่ต้องถอยไปพอสมควร แต่สุดท้ายแล้วผมก็ได้ใช้แรงเหวี่ยง โดยการพุ่งเข้าไปกอดอกของเขาและเหวี่ยงตัวไปด้านหลังก่อนจะใช้แรงเหวี่ยงนั้นทุ่มเขาลงพื้นอย่างจัง
ผลั๊วะ ผลั๊วะ ผลั๊วะ
ผมต้องเน้นต่อยไปที่ปลายคางของคนที่นอนอยู่ถึงสามหมัดถึงเขาจะน็อค แต่ในวินาทีนั้นสองคนที่เหลือรอดอยู่ก็พุ่งเข้าหาผมพร้อมกัน
ฟึบๆ
ผลั่ก!
ชายคนแรกที่ใกล้ตัวผมเขาออกหมัดใส่ผม แต่ผมก็ได้ใช้ความชำนาญรวบหมัดของเขาและพลิกร่างของเขาไปข้างหลังพร้อมกับผลักเขาออกไป ส่วนอีกคนนึงได้ใช้วิชาเทควันโดจะเตะปลายคางให้ผมสลบ แต่เขากลับโดนเองเพราะผมได้พุ่งเข้าไปหาเขาและใช้หมัดอัปเปอร์คัตขึ้นไปจนร่างเขากระเด็นไปพอสมควร แต่เขาก็ไม่ได้น็อค เขายังคงพยายามตั้งสติและลุกขึ้นมาใหม่ ส่วนอีกคนนึงที่โดนผมผลักออกไปก็จะพุ่งเข้าหาผมอีกครั้ง
ฟึบ ผลั่ก
เขาออกหมัดใส่ผมด้วยท่าทางของนักมวย และผมก็ได้ปัดข้อมือของเขาออกและผลักหน้าผากของเขาออกไป มันแสดงได้ถึงความต่างชั้นอย่างชัดเจน เพราะผมมีปฏิกริยาตอบรับที่เหนือกว่าคนทั่วไป หรือมองเห็นความเร็วได้มากกว่าคนทั่วไปนั่นเอง
“พอแล้วล่ะ” คุณเบนซ์กล่าว ซึ่งทั้งหกคนก็ทำตามอย่างเคร่งครัด พวกเขาได้รีบเดินกลับมารวมกันที่เดิมทันที