15 เมื่อไหร่จะใจอ่อน
เป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้วที่ตรัยคุณตามตื้อพิมพ์พันดาวโดดยมีกองหนุนทั้งครอบครัวตัวเองและบิดาของเธอ แต่หญิงสาวก็ยังคงไม่ยอมใจอ่อนนั่นยิ่งทำให้ตรัยคุณรู้สึกท่าทายมากขึ้นเรื่อยๆ
ในทุกเย็นเขาจะมานั่งคุยกับพิมพ์พันดาวที่ร้านและทานอาหารกับเธอ ส่วนบิดาของหญิงสาวก็ไปทานอาหารค่ำที่บ้านของเขาเพราะถ้ารอให้ถึงเวลาปิดร้านก็จะดึกจนเกินไป
“พิมพ์ช่วงปีใหม่พิมพ์จะปิดร้านไหม”
“ยังไม่รู้เลย ถ้าไม่ไปเที่ยวไหนก็คงไม่ปิด” ช่วงนี้อยู่ในช่วงสร้างฐานลูกค้าถ้าไม่จำเป็นพิมพ์พันดาวก็ไม่อยากจะปิด
“ตั้งแต่เปิดร้านมาพิมพ์ปิดแค่วันที่ต้องไปขึ้นเวรบ่ายที่โรงพยาบาลพิมพ์ไม่เหนื่อยเหรอ”
“เหนื่อยสิ แต่ลูกค้าไม่ได้มาตลอดพิมพ์ได้นั่งพักบ้าง ตรัยเบื่อไหมที่ต้องมานั่งอยู่แบบนี้ทุกวัน”
“ไม่เบื่อหรอก ผมอยากมานั่งให้กำลังใจพิมพ์” บางวันตรัยคุณก็มาตั้งแต่ร้านเปิดจนร้านปิด บางครั้งทำงานมาเหนื่อยๆ เขาก็จะอาบน้ำแล้วมานอนหลับรอที่โซฟาด้านในซึ่งมีผ้าม่านกันไว้ไม่ให้ลูกค้าเห็น
“แล้วปีใหม่ตรัยจะไปเที่ยวไหนหรือเปล่า พ่อบอกว่าบ้านตรัยจะไปเที่ยวปีใหม่กัน”
“พี่สาวผมจะกลับมาจากญี่ปุ่นก็เลยอยากพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวทะเล แต่ชวนลุงเพิ่มแล้วนะแต่ลุงไม่ยอมไป”
“พ่อบอกพิมพ์แล้วล่ะ ที่ไม่ยอมไปก็เพราะพี่เดือนใกล้จะคลอดแล้วพ่อเลยอยากจะไปดูแล”
“ลุงเพิ่มจะไปเลี้ยงลูกให้พี่เดือนเหรอ”
“ไม่หรอก พ่อก็แค่ไปช่วยดูในช่วงแรกๆ เพราะพี่เดือนจะเลี้ยงลูกเองจนครบวันลาแล้วค่อยหาพี่เลี้ยง”
“พี่สาวของพิมพ์ก็แต่งง่านและมีลูกแล้วพิมพ์ไม่คิดเรื่องนี้บ้างเหรอ”
“ตรัยรอไม่ไหวพิมพ์ก็ไม่ว่านะ”
“ใครบอกรอไม่ไหวล่ะ แต่ที่ถามก็เพราะกลัวว่าถ้าเรามีลูกแล้วเราจะแก่จนวิ่งตามลูกไม่ไหวต่างหากล่ะ”
“นี่คิดไกลถึงขั้นมีลูกแล้วเหรอ”
“ผมก็พูดทุกอย่างที่คิดนั่นแหละไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พิมพ์จะใจอ่อนหับหนุ่มบ้านนอกคนนี้สักทีนะ บางทีผมก็แอบสงสัยว่าพิมพ์แอบมีใครอยู่ที่โรงพยาบาลหรือเปล่า”
“เพราะอะไรถึงสงสัยแบบนั้นล่ะ”
“ผมก็สงสัยไปเรื่อยนั่นแหละ อีกอยกาก็ได้ยินพวกคนงานคุยกันว่าที่โรงพยาบาลมีหมอคนใหม่เพิ่งย้ายหล่ออย่างกับพระเอกงซีรีส์เลย”
“เขาคงหมายถึงหมอจิว”
“พิมพ์ก็รู้จักเหรอ”
“รู้จักค่ะ ตรัยจำไม่ได้เหรอ”
“ผมเคยรู้จักเหรอ”
“พิมพ์ไม่แน่ใจนะว่าตรัยรู้จักไหม แต่น้องเขาเคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกับเรา เป็นรุ่นน้องสองปีคนที่ใส่แว่นหนาๆ ชอบนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด”
“น่าจะเคยผ่านตาแต่ผมไม่ได้สนใจใครเลยนอกจากพิมพ์ เข้าห้องสมุดถ้าไม่มีพิมพ์ผมก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม”
“ทำไมไม่คิดจะจีบตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ”
“ใครบอกมคิดจะจีบล่ะ ผมไปตีสนิทกับเพื่อนห้องเดียวกับพิมพ์แล้วนะ แต่เขาบอกว่าพิมพ์ไม่คิดเรื่องมีแฟน เพราะอยากตั้งใจเรียน ผมก็เลยแค่แอบดุอยู่ห่างๆ”
“เพื่อนคนไหนคะ ไม่ใช่ยัยกานต์ใช่ไหม”
“เธอชื่อนุชครับ”
“อ๋อ ยัยนุช” เมื่อนึกถึงเพื่อนที่ชื่อนีรนุชพิมพ์พันดาวก็ทำหน้าเบื่อโลก
“เขาเป็นเพื่อนพิมพ์ใช่ไหม”
“เราอยู่ห้องเดียวกัน แต่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ นุชเป็นคนสวยและเป็นดาวเด่นมาตลอดแต่พอขึ้น ม.5 พิมพ์มาแย่งตำแหน่งลูกรักไปจากอาจารย์สอนทำโครงงานก็เลยไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เรากลับมาคุยกันอีกครั้งก็ก่อนที่จะเรียนจบม.6”
“เพราะอะไรถึงคืนดีกันล่ะ”
“เราไม่ได้โกรธกันนะแค่ไม่ชอบหน้าเฉยๆ ส่วนเหตุผลก็เพราะกำลังจะเรียนจบล่ะมั้ง”
“ถ้าเจอกันตอนนี้ยังจะคุยกันอยู่ไหมล่ะ”
“คุยสิ ตอนนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ตรัยยังติดต่อกับนุชอยู่เหรอ”
“ไม่นะ ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่ค่อยได้ติดต่อเพื่อนสมัยมัธยมเท่าไหร่ เดือนหน้าที่โรงเรียนจะจัดงานครบรอบ 80 ปี เราไปด้วยกันนะ ผมอยากจะเพื่อนๆ รู้ตอนนี้แยกย้ายกันไปทำงานที่ไหนแล้วบ้าง”
“พิมพ์ก็อยากเจอเพื่อนเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะมากันครบไหม”
“นั้นสิ ระหว่างนี้ผมก็ให้หัวหน้าห้องตามอยู่อยากให้มาเจอกันครบ ผมจะได้บอกกข่าวดีกับทุกคน”
“ข่าวดีอะไรเหรอ”
“ก็ข่าวดีเรื่องของเราไงล่ะ”
“พิมพ์ไปตกลงตอนไหน”
“ผมมั่นใจว่าก่อนถึงวันงานผมต้องทำให้พิมพ์ใจอ่อนได้แน่ๆ”
“ตรัย พิมพ์อยากพูดตรงๆนะ ถ้าตรัยคิดจะจีบเพื่อสานฝันตัวเองในวัยมัธยมก็อย่าเสียเวลาเลย”
“ผมไม่เคยคิดแบบนั้น แต่ที่ผมจีบพิมพ์ตอนนี้เพราะอยากให้พิมพ์มาเป็นแฟนจริง อยากสร้างครอบครัวกับพิมพ์ ผมนึกไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่งพิมพ์มีคนอื่นแล้วพาเข้ามอยู่ที่บ้านชีวิตของผมจะเป็นยังไงต่อ บางทีผมคงต้องไปอยู่ท้ายไร่แน่ๆ”
“ตรัยดูเครียดจัง”
“ผมจริงจังนะพิมพ์ ผมพูดเรื่องนี้กับพ่อแม่ผมแล้วก็บอกลุงเพิ่มไปแล้วด้วย”
“อะไรนะ”
“เวลาพิมพ์ตกใจนี่ก็น่ารักดีนะ”
“ตรัยเล่ามาเลยนะว่าพูดอะไรกับพ่อพิมพ์บ้าง”
“ก็พูดเหมือนที่พูดกับพิมพ์ ผมบอกท่าว่าผมจริงใจกับพิมพ์และอยากจะเป็นลูกเขยของท่าน”
“แล้วพ่อไม่โมโหแย่เหรอที่ไปพูดแบบนั้น”
“โมโหที่ไหนกันลุงเพิ่มหัวเราะชอบใจที่ลูกสาวจะขายออก ท่านบอกอีกนะว่าถ้าแต่งงานกันเมื่อไหร่จะทุบกำแพงข้างบ้านออกจะได้ไม่ต้องเดินอ้อมให้เหนื่อย”
“ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อจะไม่โกรธ”
“ถ้าพิมพ์ไม่เชื่อก็ลองไปถามพ่อดูสิ”
“ใครจะกล้าถามกัน”
“พิมพ์บอกว่าจะคุยกับพ่อให้มากขึ้นไม่ใช่เหรอก็คุยเรื่องนี้ไปเลย”
“ไม่ล่ะพิมพ์ว่าเว้นไว้สักเรื่องเถอะค่ะ”
บทสนทนาของทั้งสองจบลงแค่นี่เพราะมีลูกค้ามาขอซื้อยาแก้ไอและยาลดไข้ให้ลูกชาย ตรัยคุณรอจนลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้านก่อนจะช่วยพิมพ์พันดาวปิดร้านเหมือนกับทุกวัน
“พรุ่งนี้ผมไปส่งพิมพ์นะ”
“ส่งทำไมคะ พิมพ์ขับรถไปเองได้”
“ผมจะไปเยี่ยมคนงานก็เลยว่าจะไปส่งพิมพ์ พรุ่งนี้พิมพ์เข้าเวรบ่ายผมไม่อยากให้ขับรถกลับคนเดียวดึกๆ”
“บ้านเราไม่อันตรายหรอก ตรัยบอกพิมพ์เองนะ”
“ช่วงนี้มีคนงานตัดอ้อยมาจากที่อื่นเยอะ ผมว่าให้ผมไปรับดีกว่า”
“ไม่รบกวนเกินไปใช่ไหม”
“รบกวนที่ไหนผมอยากรับส่งพิมพ์แบบนี้ไปตลอดเลย”
“แต่ตรัยต้องนอนดึกตื่นเช้านะ”
“ปกติผมก็นอนดึกเป็นประจำอยู่แล้ว ให้ผมไปรับเถอะผมเป็นห่วงจริงๆ”
“เรื่องนี้ขอพ่อมาแล้วใช่ไหม”
“ไม่ได้ขอนะผมขอพิมพ์ก่อน ถ้าพิมพ์ไม่ยอมผมค่อยไปให้ลุงเพิ่มช่วย”
“คิดว่าพ่อจะเข้าข้างตรัยเหรอ”
“เข้าข้างสิเพราะลุงเพิ่มก็ห่วงพิมพ์เหมือนกัน ตอนที่พิมพ์ไปเข้าเวรบายครั้งก่อนท่านก็บอกว่าเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ”
“พ่อไม่เคยบอกพิมพ์”
“ก็ท่านกลัวว่าพูดไปจะทำให้พิมพ์เครียด”
“พิมพ์ก็ไม่อยากให้ท่านห่วงหรอกแต่ทุกคนก็ต้องผลัดกันขึ้นเวรบ่ายถึงแม้จะไม่บอยเท่าพยาบาลก็แถอะ”
“ผมเข้าใจผมเลยอยากรับส่งพิมพ์ทุกวันแค่พิมพ์คงไม่ยอมง่ายๆ ผมเลยขอรับส่งแค่วันที่พิมพ์เลิกงานดึก”
“ตรัยคิดว่ามันป็นภาระไหมที่ทำแบบนี้”
“ไม่นะ อะไรที่เราเต็มใจทำต่อให้มันลำบากหรือเหนื่อยแค่ไหนมันก็ไม่ใช่ภาระ”
“ตรัยคิดว่าจะทำได้ได้นานแค่ไหนล่ะ”
“ก็ทำไปเรื่อยไ จนกว่าพิมพ์จะใจอ่อน พอพิมพ์ใจอ่อนแล้วก็รับส่งทุกวัน”
“นึกว่าใจอ่อนแล้วจะหมดโปรโมชัน”
“สำหรับพิมพ์ไม่มีคำนั้นแน่นอน”
“แล้วพิมพ์จะคอยดูนะ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าตกลงคบกับผมแล้วใช่ไหม”