ตอนที่ 2 ยาในสุรา4
ขณะเหม่อมอง หลี่อี้ก็ต้องรีบหมุนตัวหันหลังหนีทันที เมื่อเห็นเฉิงอ๋องเริ่มกระทำบางอย่างเพื่อจัดการกับความปรารถนาของตัวเอง แม้ตอนนี้หลี่อี้ไม่มีสิ่งนั้นแล้ว แต่ก็ยังรู้ดีว่าคืออันใด
จ้าวเฟิ่งกัดฟันขบริมฝีปาก พาร่างกายตนฝ่าพายุร้าย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงผ่านพ้นมรสุมลูกแรก เขาสูดปากหายใจหอบใหญ่
ทว่าฤทธิ์ของยาที่ได้รับกลับไม่บรรเทาลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ยิ่งเพิ่มเพลิงปรารถนาให้ยิ่งลุกไหม้โหมกระพือ
เสมือนว่าเมื่อครู่ที่เขาทำลงไปเป็นการเพิ่มเชื้อไฟท่ามกลางไม้สน[1]กองพะเนินเท่านั้น
อ๋องหนุ่มสายตาเย็นเยือกผิดกับตัวตนที่ร้อนรุ่มเกินบรรยาย
จังหวะนั้น นางกำนัลนามเซวียเทาก็เอาตัวสาวงามเข้ามา ก่อนพยักหน้าให้ขันทีเดินออกไปพร้อมกัน
ประตูห้องถูกปิดลง เหลือเพียงสาวงามระเหิดระหงกำลังยืนมองเฉิงอ๋องด้วยดวงตาสั่นไหว
นางดีใจแทบตายเมื่อได้รู้ว่าคืนนี้จะต้องปรนนิบัติเฉิงอ๋อง
สาวงามเดินกรีดกรายเข้าใกล้เป้าหมายที่ต้องการปีนป่าย
“ท่านอ๋องเพคะ...”
นางสะสวยอย่างยิ่ง ประหนึ่งเทพธิดาทิ้งชั้นฟ้าลงมา น้ำเสียงยังหวานละมุนมาก รูปร่างอ่อนนุ่มยวนตา หน้าอกยวนใจ บั้นท้ายใคร่เสน่หา
สาวน้อยปรือตาฉ่ำน้ำแวววาวมองริมฝีปากที่ขบกันแน่นบนใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นนาย มองแววตาคมเข้มที่เหมือนมีประกายไฟอยู่ข้างใน มองเส้นสายลายกล้ามและเส้นเลือดข้างลำคอที่กำลังปูนโปน
นางมองทุกส่วนที่ทรงเสน่ห์นั้นอย่างหลงใหล
ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวงแหนลำพองใจ ไม่ว่าใครหากได้มองล้วนรู้สึกเฉกเดียวกับนาง
“หม่อมฉันหนิงเอ๋อร์เพคะ ท่านอ๋องทรงให้หม่อมฉัน...”
ยังพูดไม่จบ นางพลันรับรู้ถึงกลิ่นอายอันตราย ได้ยินบุรุษในถังไม้แค่นเสียงลอดไรฟันว่า “ออกไป”
“แต่ว่า ท่านอ๋องเพคะ...”
จ้าวเฟิ่งช้อนตาขึ้นมองแวบหนึ่ง “หากเข้ามาอีกครึ่งก้าว เปิ่นหวางจะฆ่าเจ้า”
ได้ยินดังนั้น ใครจะกล้ารั้งอยู่ “พ่ะ เพคะ ไปแล้วเพคะ”
“ช้าก่อน”
เมื่อเสียงเข้มนี้กระทบโสตประสาท หนิงเอ๋อร์พลันชะงักฝีเท้า ในใจลิงโลดทันใด คิดว่าท่านอ๋องต้องทนไม่ไหว คิดเปลี่ยนใจให้นางปรนนิบัติแน่แล้ว
ทว่ายังไม่ทันหันไปยิ้มหวานกลับได้ยินคำพูดเย็นเยียบแทน
“ต่อไปอย่าให้เปิ่นหวางได้ยินว่าเจ้าใช้ชื่อนี้อีก”
“...!?”
“และอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ออกไป!”
“เอ่อ...ท่ะ”
ยังไม่ทันอ้าปาก หลี่อี้ที่ได้ยินพลันเข้ามากระชากตัวนางลากออกไปทันที
ประตูห้องอาบน้ำปิดลงอีกครั้ง จ้าวเฟิ่งหลับตาขบกราม จัดการกับตัวเองต่อไป
ผ่านไปค่อนคืน น้ำในถังกระฉอกไปเกือบครึ่ง แต่พายุอารมณ์ในกายก็ยังไม่ยอมสงบลง จ้าวเฟิ่งหอบหายใจหนักหน่วง ทั้งกระเส่าและถี่กระชั้น เขานั่งอยู่ในถังไม้ที่มีน้ำเย็นเยียบ สองคิ้วขมวดแน่น สองตาเคร่งเครียด
การสลายฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดมิใช่สิ่งที่สองมือจะทำได้
ชั่วขณะนั้น ภาพหนึ่งพลันปรากฏให้ห้วงภวังค์ เป็นภาพฝันเมื่อคืนก่อน
เขามองเห็นสตรีชุดแดงยืนขนาบข้าง นางผู้งดงามย่อมเป็นเจ้าสาวของเขาจึงใส่ชุดสีแดงเช่นเดียวกับเขา ยืนคู่กับเขาท่ามกลางบรรยากาศมงคลรอบกาย
ในตอนนั้นเบื้องหน้าของเขาคือสตรีอีกคน
นางสวมชุดสีฟ้าเรียบๆ ยืนมองเขาเงียบๆ ใบหน้าเย่อหยิ่งสงบนิ่งสุดหยั่ง พูดเสียงเนิบนาบว่า ‘ยินดีด้วย’
เขาสะบัดแขนจากเจ้าสาวข้างกาย ก้าวเท้ารุดขึ้นหน้า จับตัวนางกระชากเข้าหา คำรามเสียงลอดไรฟันว่า ‘ยินดีหรือ? เรื่องของเราคงเป็นข้าที่ปรนเปรอให้เจ้ากระมัง’
นางเงยหน้า ทุกคำล้วนเฉือนใจ ‘ในเมื่อท่านแต่งงานแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าต้องอยู่ข้างกายท่านอีก ข้าแค่หวังว่าท่านจะอยู่ดีมีความสุขกับสตรีที่มีท่านในใจเท่านั้น ในใจข้าไม่ได้มีท่าน’
พูดจบก็สะบัดแขนเดินจากไปอย่างไม่ใยดี นางทิ้งตัวเขาไว้เพียงเบื้องหลังให้มองตามอย่างสิ้นหวัง
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะความเป็นจริง นางยังคงอยู่ในห้องหนังสือ และตัวเขาก็ไม่ได้แต่งงานกับใคร
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่มีสิทธิ์หันหลังให้เขา...
[1]ไม้สน ไม้เกี๊ยะ จุดเป็นเชื้อเพลิง ใช้ก่อฟืน ก่อถ่าน ตั้งเตา ตั้งกระโจมล้อมวงสุราในป่า