แค่เปลี่ยนกรงขัง 2
หลิวเจี้ยนหรี่ตามองทำเอาเมริสารู้ว่าความอดทนของคนเป็นพ่อใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนหัวร้อน ไม่ใช่ว่าเขาเคยระเบิดใส่เธอ แต่เธอเคยเห็นตอนที่เขาระเบิดใส่คนอื่น และทุกครั้งเธอรู้สึกดีใจที่เธอไม่ใช่คนพวกนั้น
“แล้วทางมหาลัยจะไม่ว่าอะไรเหรอคะ”
“จะว่าอะไรได้ ไม่ใช่มีแค่ลูกสาวพ่อคนเดียวที่ไหนที่ต้องมีบอดี้การ์ด มหาลัยนี้มีแต่ลูกคนรวยและมีอิทธิพลเข้าเรียน ถ้าไม่มีบอดีการ์ดสิแปลก”
ถูกต้อง แต่เมริสาคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวที่กระโจนใส่บอดี้การ์ดแล้วก็ร้องไห้ที่โดนปฏิเสธราวกับเป็นตัวน่าขยะแขยง ทำให้เธอมองหน้าเขาไม่ติด และตอนนี้เธอยังต้องปล่อยให้เขาติดตามเธอไปทุกที่แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย
“เขาจะอยู่กับหนูที่คอนโดด้วยรึเปล่าคะ”
“เหมยหนูเป็นเด็กฉลาดที่คิดเรื่องนี้ได้”
เมริสามองหน้าพ่อรอคำตอบทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว
“พ่อคงไม่ปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวหรอกใช่ไหม” หลิวเจี้ยนหัวเราะราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องขำขัน “พ่อจะปล่อยให้เหมยอยู่คนเดียวหรือจะไปอยู่หอพักร่วมกับคนอื่นทำไม ไม่สู้ให้อยู่กับคนที่รู้จักและไว้ใจได้ไม่ดีกว่าหรือ”
เมริสารู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดคำสั่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้พ่อบอกว่ามหาวิทยาลัยนี้มีแต่คนระดับเดียวกัน ดังนั้นหากจะมีรูมเมทเป็นเพื่อนผู้หญิงก็คงไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ แต่ทำไม่ต้องให้เธออยู่ร่วมคอนโดกับเซียวเฟิง
“หนูต้องอยู่กับเซียวเฟิงแค่สองคนหรือคะ”
“ใช่ ที่นั่นเป็นคอนโดสองห้องนอนไม่ไกลจากมหาลัย มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม แล้วพ่อกำลังให้คนไปติดตั้งระบบสัญญาณกันขโมยและรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม” ขณะพูดหลิวเจี้ยนดูพึงพอใจมาก “พ่อจะได้นอนหลับอย่างไร้กังวลเมื่อรู้ว่าหนูปลอดภัย”
ดีละ พ่อได้นอนหลับสบาย แต่เธอล่ะ ไม่อยากจะคิดเลย แต่เธอจะไปมีสิทธิ์โต้แย้งอะไรได้ เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องใด ๆ ในชีวิตตัวเองเลย
เมริสาเขี่ยอาหารไปมาในจานเพื่อทำให้ดูเหมือนว่ากำลังกินอาหารก่อนที่จะขออนุญาตลุกออกจากโต๊ะ สิ่งเดียวที่เธอต้องการตอนนี้คือการอยู่คนเดียว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลุก หลิวเจี้ยนก็เรียกเธอไว้
“เหมย หนูได้…หนูกับเซียวเฟิง…”
“คะพ่อ?” เมริสาตัวเกร็งขึ้นฉับพลัน หัวใจเย็นเฉียบราวกับมัจจุราชกำลังหยิบยื่นความตายให้ และกำลังกลั้นใจอยู่
“เขาเคยทำอะไรที่ไม่สมควรทำหรือเปล่า เขามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับหนูไหม”
“ไม่ค่ะ! ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนั้นแน่นอน” เมริสารีบตอบ สงสัยว่าพ่อไปรู้อะไรมาหรือไม่ “เซียวเฟิงเป็นมืออาชีพ แต่หนูคิดว่า…เขาไม่ค่อยชอบหนูสักเท่าไหร่”
รอยยิ้มของหลิวเจี้ยนแข็งขึ้นเล็กน้อย “เขาไม่มีสิทธิ์ชอบหนู หน้าที่ของเขาคือปกป้องให้หนูปลอดภัย และจนถึงตอนนี้ เขาก็ทำงานนี้ได้ดี”
“ค่ะ”
“นั่นแหละคือเหตุผลที่เขาเป็นคนเดียวที่พ่อไว้วางใจให้ดูแลสิ่งที่มีค่าที่สุด”
ตลกดีนะ แทนที่จะมีความสุข เมริสากลับรู้สึกเหมือนทุกครั้งที่พ่อพูดแบบนี้ เหมือนกับว่าเธอเป็นวัตถุสิ่งของ เป็นแค่สมบัติชิ้นหนึ่งของพ่อเท่านั้น เธอฝืนยิ้มก่อนจะลุกออกไป
การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นอย่างที่เธอวาดฝันไว้ว่าจะได้ใช้ชีวิตอิสระ แต่เป็นเพียงการย้ายจากกรงทองกรงหนึ่งไปสู่อีกกรงหนึ่ง และที่สำคัญเธอไม่สามารถสลัดเซียวเฟิงทิ้งไปได้
เธอเดินขบคิดตลอดทางจนกระทั่งขึ้นบันไดไปได้ครึ่งหนึ่ง ว่าเธอไม่น่าตอบพ่อออกไปแบบนั้น เธอน่าจะบอกว่า เซียวเฟิงพยายามล่อลวงเธอหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า และจะไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้อีกต่อไป เธอจะไม่ต้องเจอเขาอีก ไม่ต้องรู้สึกอับอายทุกครั้งที่เห็นเขามองด้วยรอยมุมปากราวกับกำลังเยาะเย้ยว่าเธอทำตัวโง่เขลา เหมือนกับว่าความอับอายของเธอเป็นเรื่องตลก
อย่างน้อยตอนอยู่ที่บ้านก็ยังพอจะหลบเลี่ยงได้ และเขาจะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างแน่นอน เพราะหากพ่อรู้เข้า เขาจะต้องโดนด่าหรือถูกตำหนิ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายจู่โจมเขาก่อน แต่คนที่ถูกลงโทษอย่างไรก็ต้องเป็นเขา ส่วนเธออาจจะโดนกักบริเวณหรืออะไรทำนองนั้น ผิดกับชายหนุ่มที่จะต้องถูกไล่ออกอย่างแน่นอน
เมริสาไม่รู้ว่าพ่อทำธุรกิจอะไร รู้เพียงแค่ว่ามีกิจการหลายอย่าง แต่การที่เขาเลี้ยงลูกน้องไว้มากมายทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจทำสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ เธออดจินตนาการไม่ได้เลยว่าคนที่ขัดเขาจะมีผลลัพธ์อย่างไร
แต่เธอทำแบบนั้นไม่ได้แม้ว่าอยากจะฆ่าชายหนุ่มที่ทำให้เธออับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ไม่เคยทำได้เลย เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดเขา เธอโง่เองที่คิดว่าเขาต้องการเธอ