แค่เปลี่ยนกรงขัง 1
“พ่อรู้ว่าลูกจะต้องดีใจกับเรื่องนี้”
ดีใจงั้นหรือ ตอนนี้ในหัวเมริสากำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่หลิวเจี้ยนบอก เขาจะส่งเธอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหยวนจิง
“แต่หนูไม่ได้ยื่นใบสมัครที่นั่นไปนี่คะ”
“พ่อจัดการทุกอย่างให้หนูแล้ว หนูไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ดีหรือไง”
เหมือนกับทุกครั้ง เมริสาไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด เธอไม่มีสิทธิ์เลือกหรือตัดสินใจอะไรในชีวิตของตัวเอง ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ เธอมีเงิน มีทุกอย่างที่ต้องการ เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรเลย แต่นั่นเท่ากับว่าเธอไม่สามารถเลือกได้แม้แต่มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียน
เมริสามองหน้าคนเป็นพ่อที่มองเธออย่างคาดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
มือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกำลังกำแน่นเล็บจิกบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ
เธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้คุณคน เธอรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน เธออาจไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแบบนี้ถ้าพ่อไม่ไปรับเธอมาดูแล เธออาจจะต้องนอนอยู่ริมถนนหรือแทบจะต้องใช้ชีวิตไปวัน ๆ อาจจะต้องทำงานสองงานสามงาน แต่ตอนนี้ เธอมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายแทบไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิง
แม้แต่เจ้าหญิงที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดยังอยากมีอิสรภาพบ้าง แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ ไม่สามารถออกไปข้างนอกคนเดียว ฉันไม่ได้เจอเพื่อน เธอคิดถึงเพื่อนสนิทของเธอมาก ๆ บางครั้งความกดดันเหล่านี้มันมากจนเกินจะรับไวจนร้องไห้จนหลับไปก็มี คนอื่น ๆ คงรู้สึกโชคดีที่มีชีวิตที่เพียบพร้อมแบบเธอ หรือเป็นเพราะว่าเธอได้ทุกอย่างมาโดยง่ายเลยไม่เห็นคุณค่าใช่หรือเปล่า
“แน่นอนว่าลูกสาวพ่อต้องเข้าเรียนที่มหาลัยที่ดีที่สุดอยู่แล้ว พ่อจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่พัก พ่อซื้อคอนโดใหม่ให้หนู ตอนนี้เหลือแค่ตกแต่งอีกไม่เกินสองวันก็เสร็จ หนูไปถึงก็เริ่มเรียนได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ” เมริสาพยายามฝืนยิ้มส่งให้ แล้วก้มหน้าจ้องจานอาหารเช้าแสนน่ารับประทานตรงหน้า จู่ ๆ ความอยากอาหารก็หายไปในทันที
“พ่อยอมรับว่า คงจะเหงาถ้าเหมยไม่อยู่ที่นี่ แปลกไหม เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่พ่อก็เริ่มชินกับการมีเหมยอยู่ใกล้ ๆ ไม่รู้ว่าว่าบ้านนี้จะเงียบและว่างเปล่าแค่ไหน” หลิวเจี้ยนสบตากับลูกสาว น้ำเสียงมีความอาวรณ์เล็ก ๆ
“หนูจะกลับมาในช่วงวันหยุด แล้วมหาลัยก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ หนูอาจจะกลับมาทุกอาทิตย์ด้วยซ้ำ พ่อจะต้องเบื่อหน้าหนูแน่”
“ไม่หรอก แต่ลูกสาวพ่อก็อยู่ในวัยที่คนเป็นพ่อจะต้องเริ่มทำใจให้ชินกับที่จะไม่มีลูกสาวอยู่ใกล้ ๆ” หลิวเจี้ยนมองมาที่ลูกสาว เห็นว่ากำลังสับสนจึงพูดต่อ “ก็พ่อหมายถึงวัยนี้ปกติจะต้องไปเรียนมหาลัย หรือไม่ก็ถูกแต่งงานออกไปไม่ใช่เหรอ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมริสาได้ยินคนเป็นพ่อพูดแบบนี้ เธอไม่รู้ว่าควรจะถือเอาจริงเอาจังกับเขาหรือเปล่า ยังมีคนคิดแบบนี้เกี่ยวกับผู้หญิงอยู่จริง ๆ หรือ เหมือนกับว่าผู้หญิงไม่มีค่าอะไรนอกจากเป็นทรัพย์สินที่จะขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุด หรือสร้างพันธมิตรทางธุรกิจอะไรบางอย่าง
เมริสาปัดความคิดนั้นออกไป อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน ระหว่างเรียนอยู่พ่อเธอคงไม่บอกให้เธอลาออกกลางคันเพื่อไปแต่งงานหรอก พอคิดแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย
“หนูว่าหนูคงต้องรีบไปเตรียมตัวเก็บของแล้วค่ะ”
“ไม่จำเป็นหรอก ปล่อยให้งานพวกนี้เป็นหน้าที่ของคนรับใช้ไป” หลิวเจี้ยนยกมือห้าม “พอหนูไปถึง เซียวเฟิงจะจัดการทุกอย่างให้หนูเอง”
“เซียวเฟิง…เขามาเกี่ยวอะไรด้วยคะ”
“เขาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเหมย ก็ต้องไปคุ้มกันหนูไง”
“ต้องถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หลิวเจี้ยนจ้องหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวโดยตาไม่กะพริบ “หนูคิดว่าพ่อจะยอมปล่อยให้หนูไปคนเดียวเหรอ เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหนูไปอยู่ที่นั่น ถึงแม้ที่หยวนจิงจะมีแต่คนระดับเดียวกับเรา แต่พ่อก็ไม่สามารถวางใจได้ พวกผู้ชายก็ยังเป็นผู้ชายอยู่วันยังค่ำ”
เมริสาต้องกัดลิ้นตัวเองไม่ให้โพล่งอะไรออกไป ไม่เข้าใจว่าคุยกันมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เธอต้องข่มกลั้นตัวเองอย่างมาก ไม่อยากยั่วโทสะคนเป็นพ่อ
“เอ่อ…พ่อคะ…แล้วเซียวเฟิง…เขาต้องไปเข้าเรียนกับหนูมั้ย ต้องตามติดหนูไปทุกที่รึเปล่า”
“ถ้าพ่อสั่งเจ้านั่นก็ต้องทำตาม และใช่ นั่นแหละหน้าที่ของเจ้านั่น”