ตอนที่ ๑๕ พระสนม
.
.
“ เหตุใด พระองค์ถึงให้กระหม่อมเก็บผลไม้ไปมากมายเช่นนี้พะยะค่ะ ” อินสูรย์เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้เนื่องจากทุกครั้งที่ออกล่า ไม่เคยให้เก็บผลไม้กลับไปด้วยสักครั้ง
“.....”
กษัตริย์อสุราไม่ได้ตอบอันใด แต่กลับยิ้มออกมาแทน ยิ่งทำให้อินสูรย์ใคร่อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
“ ข้ารู้ ว่าเหตุใดพระองค์ถึงให้เก็บผลไม้มากมายเช่นนี้ ” จู่ๆมนทกก็พูดขึ้น อินสูรย์และกษัตริย์อสุราหันไปทางมนทกอย่างพร้อมเพียงกันทันที
“ เจ้ารู้รึ? ” กษัตริย์อสุราเอ่ยถามมนทกทันใด
“ พะยะค่ะ พนาลี เมียของกระหม่อมบอกว่าพระธิดานิศามณีโปรดปรานผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์ พะยะค่ะ” เมื่อได้ยินที่มนทกเอ่ย กษัตริย์อสุราก็ยิ้มออกมาทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา
“ พระองค์เก็บผลไม้ไปให้พระธิดามากมายเช่นนี้ แล้วพระธิดาจักเสวยหมดหรือพะยะคะ”
“.....”
“ หากเสวยมิทัน ก็จักเน่าเสียนะพะยะค่ะ” เมื่ออินสูรย์เอ่ยมาเช่นนั้นกษัตริย์อสุรานิ่งไปทันที พระองค์ลืมฉุกคิดเรื่องนี้ไปเลย เมื่อพระองค์คิดเพียงแค่ใคร่จักเอาใจนางเท่านั้น
“ ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ถอนไปทั้งต้นเลยหนา นำไปปลูกไว้ในสวนดอกไม้ข้างตำหนัก จักได้มิเน่าเสีย นางจักได้โบยบินขึ้นไปเก็บเอง”
“.....”
“ ถอนเบา ๆ มืออย่าให้บอบช้ำเล่า ” กษัตริย์อสุรารับสั่งก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้า
“ พะยะค่ะ องค์เหนือหัว ” มนทก และอินสูรย์ขานรับพระบัญชา ก่อนจะสั่งทหารอสุรารับใช้ที่ตามมาถอนต้นไม้ที่มีผลเต็มต้น ไปตนละหนึ่งต้น ก่อนจะรีบกลับเข้าเมืองพนาราพณ์
.
.
.
ครุฑีน้อยที่กำลังโบยบินชมดอกไม้อย่างพอใจจู่ ๆ นางก็หันไปจ้องมองพระราชวังสีไพลินที่อยู่ไม่ไกล พนาลีที่จ้องมองตามสายตาของครุฑีน้อย ก็รู้สึกใจคอหวาดหวั่นขึ้นมาทันที
เมื่อพระราชวังนั่นกษัตริย์อสุราห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปย่างกรายเด็ดขาด หากปล่อยนางเข้าไปคงไม่ใช่แค่หลังขาดแน่ อาจจักคอขาดก็เป็นได้
“ ที่นั่น...”
“ ทรงอย่าคิดจักเข้าไปในพระราชวังนั่น เป็นอันขาดนะเพคะ” พนาลีพูดสวนขึ้นทันทีเมื่อรู้ว่าครุฑีน้อยกำลังจะเอ่ยถามตน
“ พระราชวัง...? ”
“ หากสงสัยใคร่รู้สิ่งใด ทรงกลับไปไถ่ถามองค์เหนือหัวด้วยองค์เองเถิดหนาเพคะ” แล้วพนาลีก็ต้องรีบตอบสวนขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ครุฑีน้อยจะได้ถามอะไร
“.....”
“ จักกลับพระตำหนักได้แล้วใช่หรือไม่เพคะ” พนาลีถามย้ำ
“.....” ครุฑีน้อยถอนลมหายใจออกมา ก่อนจะจำใจต้องพยักหน้าตอบ
พนาลีรีบนำพานิศามณีเดินออกจากอุทยาน เพื่อกลับพระตำหนักทันที
“ นั่นผู้ใดกัน? ” ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นสวนอุทยานก็มีเสียงตะโกนถามดังขึ้นจากด้านหลัง
พนาลีและครุฑีน้อยหยุดเดินในทันที ก่อนจะหันหลังกลับไปมองตามเสียงนั่น
“ ผู้ใดกันหรือพนาลี?” ครุฑีน้อยเอียงกายเข้าไปกระซิบถามข้างๆใบหูพนาลี
“.....”
พนาลีสีหน้าพะอึดพะอม ในเพลานี้เหมือนน้ำท่วมปากก็มิปาน เพราะที่กำลังเดินมาคือพระสนมวัจณาและพระสนมจัณฑี พร้อมกับอสุรีรับใช้
‘ ตาย!! ข้าหลังขาดแน่ๆครานี้ จักทำเยี่ยงไรดี ’ พนาลีคิดอยู่ในใจ
“ นางคือครุฑีตนนั้น ที่ท่านพี่โอบอุ้มกลับมา ” วัจณาจ้องมองไปที่ครุฑีน้อย กวาดสายตามองจากหัวจรดเท้าก่อนจะเอ่ยออกมา
“ ท่านพี่หรือ? โอบอุ้มข้า..งั๊นหรือ? ผู้ใดโอบอุ้มข้าพนาลี?” เมื่อได้ยินสิ่งที่วัจณาเอ่ยถึงตน ครุฑีน้อยก็เกิดความงงงันและสงสัยขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถามพนาลี
“ เอ่อ..องค์เหนือหัวเพคะ ที่โอบอุ้มพระธิดา ในวันที่พระธิดาบาดเจ็บมาอย่างไรเล่าเพคะ” พนาลีรีบตอบโดยเร็ว
จู่ ๆ ภาพในวันที่ครุฑีน้อยถูกเหล่าทหารครุฑาตามล่าสังหาร ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เมื่อจำได้แค่เพียงว่า ถูกพระแสงหอกซัดเข้าที่ปีกก่อนสติจะดับวูบ ฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในห้องบรรทมของกษัตริย์อสุราแล้ว
“ ใช่!! ข้าบาดเจ็บมิใช่หรือ ข้าจำได้ ว่าข้าถูกพระแสงหอกซัดที่ปีกก่อนที่ข้าจะหมดสติไป แล้วเหตุใด! ปีกข้ามิรู้สึกเจ็บเลย แลเหตุใดมิมีบาดแผลเล่าพนาลี?”
เมื่อนึกขึ้นได้ครุฑีน้อยก็รีบสยายปีกตนเพื่อสำรวจดู ก็ต้องแปลกใจ เมื่อปีกตนที่โดนปลายพระแสงหอกพุ่งทะลุ เหตุใดถึงไม่มีแม้แต่ร่องรอยบาดแผล
ครุฑีน้อยสำรวจตนเองโดยไม่ได้สนใจสองสนมที่กำลังยืนจ้องมองตนอยู่
“ จักเจ็บได้อย่างไรเล่าเพคะ ก็องค์เหนือหัวรักษาเยียวยาพระธิดาด้วยพระองค์เองนี่เพคะ” พนาลีรีบตอบเมื่อเห็นครุฑีน้อยกำลังตกใจ
“ รักษาเยียวยาข้า ด้วยพระองค์เอง กระนั้นหรือ?”
“ เพคะ พระธิดา พระองค์มิให้เรียกหมอหลวงเพคะ ” พนาลีตอบ
“ เจ้าเรียกนางว่า พระธิดา อย่างนั้นหรือ?พนาลี” จู่ ๆ จัณฑีก็เอ่ยถามขึ้นเมื่อสังเกตุได้ว่าพนาลีเรียกครุฑีน้อยว่าพระธิดา
“ เพคะ พระสนม” พนาลีตอบ
“ พระสนมงั๊นรึ?” ครุฑีน้อยกระซิบถามพนาลีก่อนจะหันหน้ามองสนมสองนางตรงหน้า พนาลีถอนหายใจออกมาทันที
“ เหตุใด ถึงเรียกนางพระธิดา? ” วัจณาเอ่ยถามทันที
“ เอ่อ...”
“ ก็บิดาของข้าเป็นกษัตริย์ จักให้เรียกอย่างไรได้อีกเล่า ” ไม่ทันที่พนาลีจะได้ตอบ ครุฑีน้อยก็ตอบสวนขึ้นมาก่อน สองสนมหันควับไปยังครุฑีน้อยทันที
“ เช่นนั้นหรือ จักบอกให้ว่าพระสนมทุกนางของพระองค์ก็มีบิดาเป็นกษัตริย์เหมือนกับเจ้า ” วัจณาพูดขึ้นพร้อมกับเชิดใบหน้า
“ แต่ข้า มิใช่!! พระสนมสักหน่อย แลจักไม่มีวันเป็นพระสนมของผู้ใดเป็นอันขาด ”
“.....”
“ เรากลับกันเถิดพนาลี เพลานี้ข้าใคร่กลับพระตำหนักแล้วหนา ” ครุฑีน้อยตอบสวนกลับไปทันใด ก่อนหันไปเอ่ยกับพนาลีแล้วหันหลังก้าวเท้าเดินไปทันที
“ เพคะ ” พนาลีขานรับก่อนจะรีบเดินตามครุฑีน้อยไป
เมื่อจู่ ๆ ครุฑีน้อยเริ่มจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมา นางรับรู้ได้ว่า พระสนมสองนางนี้ ไม่ได้มาแบบมิตร ทั้งคำพูดน้ำเสียง ทั้งสายตาและกิริยา จงใจจะหาเรื่องชัดเจนออกปานนั้น ครุฑีน้อยจึงไม่อยากที่จะเสวนาด้วย
“ นี่เจ้า มิใช่สนมนางใหม่ของท่านพี่ดอกหรือ? ” วัจณาเอ่ยถามขึ้นก่อนที่ครุฑีน้อยจะได้เดินไปไกล
“.....”
ครุฑีน้อยหยุดชะงักในทันทีเมื่อได้ยินคำถามของวัจณาริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นก่อนจะหันกลับมา
“ ข้ามิใช่สนม!! ”
ครุฑีน้อยตอบคำถามด้วยใบหน้าและน้ำเสียงกระแทกอย่างไม่พึงพอใจกับคำถามของนาง ก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังกลับ แล้วรีบเดินจากไปทันที
๐๐๐๐๐๐๐๐๐
