4.นางจิ้งจอกเข้าครัว
เยว่จือถึงกับตกใจกับอาการของม่านอวี้อัน เมื่อปกติคุณผู้หญิงห่วงข้าวของในครัวจนใครจับต้องไม่ได้ และตู้เย็นดังกล่าวยังเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า เพราะเหลือเพียงชิ้นเดียวที่มีราคาแพงที่สุดในบ้าน เธอจึงไม่ยอมให้เด็ก ๆ เข้าใกล้เป็นอันขาด
“ฉันหลับไปกี่วัน”
“มะ มาดามนอนซมไปเกือบห้าวันค่ะ และเราไม่เหลืออะไรเลย มีขนมปังก้อนสุดท้าย หนูเอาให้น้องกินตอนเช้า ตอนนี้เหลือกล้วยหอมหนึ่งหวี แป้งทำขนมสามถุง แล้วก็ไข่ที่เฮียข่ายแบ่งไว้ให้ครึ่งแผง”
เยว่จือว่าจบจึงขยี้ตาตนเองแรง ๆ ไม่ใช่ว่าอ่อนแอ แต่เธอพยายามทำให้ตนไม่ส่งเสียงร้องไห้ออกมาต่างหาก ด้วยของเพียงเท่านี้จะพอกินถึงสิ้นเดือนได้อย่างไร!
“เธอหิวไหม” ม่านอวี้อันถาม
เด็กสาวเงยหน้าขึ้น เป็นตอนนั้นที่ม่านอวี้อันเห็นชัดเต็มสองตาว่าแก้มข้างหนึ่งของเยว่จื่อมีรอยแดงช้ำ เธอฉงนในตอนแรก ก่อนถามเสียงเข้มว่า
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“น่ะ หนูหกล้ม”
ม่านอวี้อันไม่เชื่อ เธอเอื้อมมือไปจับคางของเด็กสาว หมุนซ้ายหมุนขวา จากนั้นก็ทั้งโกรธและหงุดหงิดใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ทำให้ใบหน้าเรียวเล็กนี้บอบช้ำ
“ใครทำร้ายเธอ!” ม่านอวี้อันเดือด ใจเธอเต้นแรงจนเกือบจะกระโจนออกมาอยู่นอกอก!
เยว่จือบีบมือตัวเองแน่น เธออยากสร้างเรื่องโกหกม่านอวี้อันอย่างที่แล้ว ๆ มา ทว่าไม่รู้เหตุใด ยามนี้คุณผู้หญิงถึงไม่เหมือนเดิม และยังสร้างความกล้าหาญให้เด็กสาวอยากพูดความจริงอย่างหมดเปลือก!
“นะ หนู เดินไม่ดูทางเอง เลยเจอกับเฮียถัง เขามาถามเรื่องเงินค่าเช่าร้านที่ติดไว้ กับเงินที่คุณผู้หญิง เอ่อ... มาดามยืมมาซื้อของ แล้วทำเจ๊งจนเรากำลังจะอดตาย...”
ฟังจากปากเยว่จือ ม่านอวี้อันก็รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่แค่ความยากจน แต่ยังมีหนี้ที่ต้องจ่ายอีกด้วย และถ้าถึงขั้นที่คนของฝ่ายนั้นกล้าทำร้ายเด็กสาวตัวเล็ก ๆ แล้วนั่นย่อมหมายความว่ามันอยู่ในขั้นวิกฤติ
“เฮียถัง...”
เมื่อเอ่ยชื่อนี้ขึ้น ม่านอวี้อันก็ตัวแข็งค้าง ในความทรงจำเธอเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่กับกลุ่มแก๊งของเขาที่ถือขวานและมีดเล่มยาว คนพวกนั้นเป็นพวกมาเฟียปล่อยเงินกู้ แถมยังเก็บดอกเบี้ยสุดโหด โชคชะตาเล่นตลกกับผู้หญิงที่ต้องดิ้นรนเลี้ยงดูตัวเองจนม่านอวี้อันต้องไปยืมเงินคนพวกนั้น โดยเอาบ้านเป็นหลักค้ำประกัน ซึ่งด้านหน้าของบ้านหลังนี้เปิดเป็นร้านอาหาร แต่เกือบหนึ่งปีแล้วที่ขายของได้ไม่ดี หนำซ้ำตัวเธอยังป่วยกระเสาะกระแสะ สุดท้ายจึงติดหนี้ก้อนใหญ่เกือบห้าหมื่นดอลลาร์ และก่อนที่จะล้มป่วย ม่านอวี้อันก็ได้เห็นภาพที่น่ากลัวจนเธอไม่อยากจะเชื่อว่า เจ้าของร่างจะเคยคิดกินยาฆ่าตัวตายแบบยกครัวมาแล้ว หากไม่ใช่ว่ามีใครบางคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไว้!
เมื่อเยว่จือเอ่ยปากออกไปแล้วเห็นม่านอวี้อันยังคงนิ่ง แต่ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวอย่างที่ผ่านมา จึงเสริมต่อ
“มีอีกเรื่องค่ะ เฮียถังบอกว่า จะให้มาดามทำอาหารเลี้ยงวันเกิดน้องสาวเขาด้วย”
“ฮึ กล้าทำคนของฉันเจ็บตัว ยังมีหน้ามาออกคำสั่งเฮงซวยอย่างนั้นด้วยเหรอ ไอ้ลูกเต่า!”
ม่านอวี้อันว่าเสียงดังด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น ยามนั้นลูกชายคนเล็กจึงยืนตัวแข็ง ดวงตากลมโตมองเธอ ก่อนส่งเสียงเล็ก ๆ ว่า
“มัมมี้! พูดไม่ดี พูดแบบนี้ เดี๋ยวเฮียผิงจะเลียนแบบ!”
ได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงดึงสติตนกลับได้ทันควัน แม้เธอจะเคยร้ายมามากแค่ไหน แต่จะมาทำนิสัยเหล่านั้นให้เด็ก ๆ เห็นไม่ได้
“โถ คนดี แม่แค่แสดงงิ้ว เจียวเกอไม่กลัวใช่ไหมจ๊ะ”
“น้องไม่กลัว แค่จะฉี่ใส่ที่นอน แต่เฮียผิงนะซี ฝันร้ายแหง ๆ”
เสียงเจื้อยแจ้วนั้นทำให้ม่านอวี้อันหัวเราะร่วน เธอไม่คิดว่าจะพบความสุขได้อย่างเรียบง่ายด้วยเรื่องเล็กน้อยจากหัวใจบริสุทธิ์ ซึ่งอาจมากกว่าการขายของได้เงินนับร้อยล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ทันข้ามคืนด้วยซ้ำ!
“รับรองว่าสุดหล่อของแม่จะได้กินอิ่ม นอนหลับปุ๋ย และโตเร็ว ๆ เอาละ บ่ายนี้เรากินอะไรกันดีน้า” ม่านอวี้อันว่าพร้อมกับคิดในหัวคร่าว ๆ เธอจะทำเค้กกล้วยหอมโรยด้วยหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ และฝานเนื้อกล้วยบา งๆ วางแปะไว้ด้านบน ส่วนอาหารสำหรับเด็ก ๆ คงเป็นไข่ข้นหอม ๆ กินกับมันฝรั่งบดที่นุ่มจนแทบละลายในปาก
เยว่จือมองท่าทีของม่านอวี้อันแล้วแปลกใจอยู่ในที ทว่าก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีมิน้อย ด้วยตัวเธอไม่เห็นคุณผู้หญิงกระปี้กระเป่ามีชีวิตชีวาเช่นนี้มานานแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ม่านอวี้อันได้แต่จมอยู่กับความทุกข์ ทั้งมักจะตัดพ้อต่อบิดาของลูกชายทั้งสองคนที่หายสาบสูญไปในเหตุการณ์รุนแรงระดับชาติ
“เอ่อ แต่เราไม่มีข้าวนะมาดาม”
“อืม เรื่องนั้นฉันรู้ ว่าแต่เธอน่ะ เชื่อเรื่องเวทมนตร์ไหม” ม่านอวี้อันถาม
“เอ ยังไงนะคะ”
“ในอดีตชาติฉันเป็นปีศาจจิ้งจอก เรื่องใช้เวทมนตร์และร่ายคาถาน่ะ ฉันถนัดที่สุด โดยเฉพาะการหลอกล่อให้เหยื่อติดกับ และฉันนี่แหละ จะเรียก เนื้อ กุ้งหอย ปู ปลา และเงินทองมาให้เต็มบ้านหลังนี้!”
ยิ่งฟังเยว่จือยิ่งมึนงง ผิดกับสองฝาแฝดที่ตาโตและดูสนใจในสิ่งที่แม่พูดราวกับเป็นนิทานก่อนนอน ซึ่งพวกเขาไม่ได้ฟังมานาน เพราะแม่เอาแต่ขังตนเองในห้อง แถมบางครั้งยังได้ยินเสียงร้องไห้ด้วย
“น้องอยากเห็นปีศาจ” เซียงเจียวว่าอย่างกระตือรือร้น ส่วนผิงกั่วกำหมอนเน่าของตัวเองแน่น ก่อนเอ่ยเสียงเบาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า
“จิ้งจอก มะ มัน กินตับ มะ ไหมมัมมี้!”
ม่านอวี้อันหัวเราะอีกครั้ง เธอชอบใจบ้านหลังนี้กับครอบครัวเล็ก ๆ ทุกคนช่างบริสุทธิ์และพร้อมส่งพลังงานสร้างสรรค์ให้เธออย่างมหาศาล
“ไม่กินตับจ้ะ จิ้งจอกตัวนี้มีเก้าหาง มันจะเนรมิตทุกอย่างให้ลูกทั้งสองกับเยว่จือมีแต่ความสุข เราจะสร้างบ้านลูกกวาดด้วยกัน บ้านที่มีเสียงหัวเราะ มีอาหารดี ๆ ผิงเกอ เจียวเกอ ชอบไหม”
เป็นตอนนั้นที่ผิงกั่วทิ้งหมอนข้างลง เขาก้าวช้า ๆ มาหาม่านอวี้อัน
“ผะ ผม... หิว ปะ ปีศาจจิ้งจอกมีข้าวกินไหม” เด็กน้อยว่า เขามีสีหน้าซีดเซียว มือน้อย ๆ ข้างหนึ่งยกขึ้นลูบท้องตัวเองให้เธอดู
เมื่อม่านอวี้อันที่กำลังหัวเราะและมีใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เมื่อครู่ได้ยินแบบนั้น เธอก็รีบอุ้มลูกชายคนโตขึ้นแล้วหอมแก้มซ้ายขวาของเขา เด็กน้อยอายุเพียงเท่านี้ต้องพบเจอเรื่องเลวร้ายใดมาบ้างก่อนที่เธอจะย้อนเวลามาอยู่ในร่างมารดาของพวกเขา
หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ลึกมาก เพราะเธอไม่อยากเสียน้ำตาอีก ทว่าสุดท้ายกลับกลั้นเอาไว้ไม่ไหว “กิน... วันนี้ทุกคนจะต้องอิ่มพุงกาง แม่สัญญา!”