ตอนที่ 5 การตัดสินใจของท่านย่า
ฉางเจียอีโยนเสื้อคลุมของโม่หนิงหลงทิ้งไปทันใด แต่นายอำเภอรีบมาคว้าเสื้อคลุมเอาไว้ราวกับของล้ำค่า
“คุณหนูรองไม่ได้นะขอรับ ซื่อจื่อบอกว่าเสื้อนี้เป็นของพระราชทานจะทิ้งไม่ได้เด็ดขาด ต้องซักอย่างดีแล้วส่งกลับจวนอ๋องนะขอรับ”
“ทำไมเขาต้องให้ข้าซักด้วย ข้าไม่ทำ”
นายอำเภอจึงเอ่ยว่า
“ก็ร้านซักผ้าชนชั้นสูงที่ดีที่สุดในลั่วหยางก็คือร้านซักผ้าสกุลฉางขอรับ ดังนั้นซื่อจื่อจึงมอบให้ท่านจัดการของสำคัญเช่นนี้”
ออ เป็นเช่นนั้นสินะ ฉางเจียอีก็ลืมไปเสียสนิทว่าร้านซักผ้าก็คือหนึ่งในกิจการอันใหญ่โตของท่านพ่อที่มีไม่ถ้วน
ในเวลานั้นเสิ่นเสียนบ่าวรับใช้ของนางก็ตามมาถึงแล้ว เป็นเพราะเสิ่นเสียนได้ยินเสียงของคุณหนูทะเลาะกับบุรุษผู้หนึ่งนางจึงตามออกมาดู นางได้ยินเขาบอกว่าจะจับคุณหนูเข้าคุกก็เลยรีบตามมาที่สำนักงานนายอำเภอแห่งนี้
“คุณหนูท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ฉางเจียอีหน้างอ
“ก็ถูกคนพาลด่ามาน่ะสิ คนผู้นั้นน่ารังเกียจนัก”
จากนั้นนางก็เล่าให้เสิ่นเสียนฟัง เสิ่นเสียนถึงกับตกใจ
“เป็นบุรุษคนเดียวกันหรือเจ้าคะ นี่ไม่นับว่าเป็นวาสนาหรือ เขายังมีฐานะเป็นถึงซื่อจื่อ คุณหนูเจ้าคะดียิ่ง”
“ดีกับผีอะไรเล่า ข้าเกลียดเขาที่สุด”
นายอำเภอส่งเสื้อคลุมของโม่หนิงหลงให้เสิ่นเสียน นางมองของในมือแล้วเอ่ยถาม
“แล้วเสื้อคลุมนี่ทำอย่างไรเจ้าคะ ให้บ่าวส่งไปซักเลยหรือไม่”
ฉางเจียอีจ้องเสื้อคลุมราคาแพงของเขาแล้วยกมุมปากยิ้มชั่วร้าย
“ไม่ต้อง”
คฤหาสน์สกุลฉาง
ฉางเจียอีให้คนทำหุ่นฟางขึ้นมาตัวหนึ่ง เอาอาภรณ์ที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำแกงของโม่หนิงหลงไปสวมหุ่นฟางจากนั้นเขียนชื่อของเขาติดเอาไว้แล้วจัดการระบายอารมณ์ด้วยการเตะต่อยคนพาลโดยมัดมันเอาไว้กับเสาในลานเรือนของตนเองอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นนางก็หันไปสั่งเสิ่นเสียน
“เสิ่นเสียนเร็วเข้า มาช่วยข้าปาหิมะนี่ใส่คนพาลเร็วเข้า”
สตรีทั้งสองต่างปั้นก้อนหิมะกลมแล้วเขวี้ยงใส่หุ่นฟางที่สวมเสื้อคลุมพระราชทานตัวนั้นพร้อมกับตะโกนก้อง
“ตายซะ โม่หนิงหลงตายซะเถิด”
ฉางเจียอีจัดการหุ่นฟางตัวนั้นราวกับว่ามันคือโม่หนิงหลงตัวจริง
“หึ ผู้ใดอยากพบเจ้ากัน คนบ้า คนสารเลว”
ด้านโม่หนิงหลงที่เร่งรีบกลับจวนซวินอ๋อง ด้วยเกิดเรื่องกับฮูหยินผู้เฒ่าที่จู่ ๆ ก็เป็นลมหมดสติกะทันหัน
เมื่อโม่หนิงหลงมาถึงฮูหยินผู้เฒ่าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาคุกเข่าอยู่ข้างเตียงนอนของผู้เป็นย่าซึ่งบัดนี้มีซวินอ๋องบิดาของเขาและมารดาอยู่ข้าง ๆ
“หลงเอ๋อร์ของย่า”
“ท่านย่า หลานอยู่นี่”
ฮูหยินผู้เฒ่าใช้สองมือเหี่ยวย่นประคองใบหน้าของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยว่า
“เจ้ามาแล้วหรือ เมื่อสักครู่ย่าฝันถึงท่านปู่ของเจ้า ดูเจ้าสิ ช่างถอดแบบใบหน้าของเขามาไม่ผิดเพี้ยน”
ซวินอ๋องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เตียงเอ่ยว่า
“ท่านแม่เวลานี้หลงเอ๋อร์ก็มาถึงแล้วท่านแม่ก็ดื่มยาเสียหน่อยเถิด”
โม่หนิงหลงรับถ้วยยามาเป็นคนป้อนยาท่านย่าด้วยตนเอง ฮูหยินชรายอมดื่มยาจนหมดชามพร้อมกับเอ่ยถึงความหลังที่นางมักจะชอบพูดซ้ำ ๆ อยู่เสมอ
“ท่านปู่ของเจ้าเดิมเป็นทหารยศเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง แต่เพราะความเก่งกล้าสามารถจนไต่เต้าขึ้นมาเป็นแม่ทัพ ทำความดีความชอบมามากมายนักอดีตฝ่าบาทจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นซวินอ๋อง ตำแหน่งนี้สืบทอดมายังบิดาของเจ้าต่อไปก็เป็นเจ้าที่ต้องดำรงตำแหน่งนี้ หลงเอ๋อร์แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าในวันนั้นหากไม่ได้สองสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ช่วยชีวิตท่านปู่ของเจ้าเอาไว้ในยามสงคราม เขาก็คงไม่อาจรอดมาจนเสวยสุขถึงลูกหลานทุกวันนี้”
“หลานทราบขอรับ ท่านย่าเล่าให้หลานฟังแล้ว หลานจดจำได้ขึ้นใจถึงบุญคุณของสองสามีภรรยาคู่นั้น ที่ยามนั้นในแผ่นดินศัตรูยอมช่วยเหลือท่านปู่และยังพาเขากลับสู่แผ่นดินเกิดมาได้”
“ใช่พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายช่วยคนโดยไม่หวาดกลัว ย่าสำนึกในบุญคุณของเขานัก”
“ขอรับ หากท่านย่าต้องการหลานยินดีติดตามหาพวกเขาให้พบเพื่อแทนคุณ”
ท่านย่ายิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ไม่จำเป็นแล้ว ย่าตามหาเขาพบแล้ว”
เมื่อท่านย่าของเขาตามหาผู้มีพระคุณพบแล้วเขาย่อมยินดียิ่ง
“พบแล้วหรือขอรับ เป็นผู้ใดหรือขอรับ”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะใกล้กันเพียงปลายจมูก ในวันที่พวกเราไปไหว้พระที่วัดไป๋หลาง วันนั้นย่าก็ได้พบนางโดยบังเอิญ เดิมทีย่าก็จำนางไม่ได้ทว่านางมีไฝที่หางตาข้างขวาทำให้ย่าคุ้นเคยนัก จึงได้เอ่ยทักออกไป ไม่น่าเชื่อว่าสามสิบกว่าปีมานี้ที่เฝ้าตามหาคนในที่สุดย่าก็ได้พบผู้มีพระคุณของย่าแล้ว”
ท่านย่าเช็ดน้ำตาก่อนจะเอ่ยต่อ
“เพราะพวกเขาช่วยเราครานั้น ย่าจึงได้รู้ว่านางและครอบครัวลำบากมาไม่น้อย สามีของนางยอมรับผิดจึงถูกจับตัวไปต่อมาถูกทหารแคว้นเหรินสังหารทิ้งนางกับลูกไว้เผชิญชีวิตตามลำพัง หลายปีมานี้นางเฝ้าเลี้ยงดูลูกด้วยตนเองมาอย่างยากลำบาก แต่นางก็ไม่เคยคิดโกรธท่านปู่เลยสักครั้งที่เป็นต้นเหตุทำให้สามีของนางถูกสังหาร น้ำใจของคนสกุลฉางช่างประเสริฐแท้”
โม่หนิงหลงเอ่ยว่า
“คนที่ช่วยท่านปู่ ถูกสังหารหรือขอรับ”
“ใช่ เพราะเขาช่วยท่านปู่ของเจ้าภายหลังถูกจับได้จึงถูกจับตัวไปและถูกสังหาร”
โม่หนิงหลงรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
“แล้วเขาไม่คิดแค้นพวกเราเลยหรือขอรับ”
“น้ำใจประเสริฐนัก พวกเขานอกจากไม่คิดแค้นยังดีใจยิ่งที่ท่านปู่ของหลานปลอดภัยการตายไปของคนผู้นั้นจึงนับว่าไม่สูญเปล่าแล้ว”
“แล้วผู้มีพระคุณมาจากสกุลใดหรือขอรับ ท่านย่าพบแล้วพวกเขาเป็นเช่นใดบ้าง”
“สกุลฉาง เป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่น้อยย่าเองยามนั้นที่ผิดเองที่กระทั่งชื่อแซ่ของเขาย่าก็ยังไม่ได้เอ่ยถามจึงได้ติดตามหาลำบากเช่นนี้มานานหลายปี”
“คนสกุลฉางหรือขอรับ”
“ใช่ นางคือฮูหยินใหญ่สกุลฉาง หลานคงรู้จักพ่อค้าใหญ่สกุลฉางกระมัง ย่าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเขาจะเป็นบุตรชายของผู้มีพระคุณและทำกิจการค้าขายร่ำรวยเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่งในลั่วหยางเช่นนี้”
โม่หนิงหลงเองก็ตกตะลึง เขาเองเพิ่งมีเรื่องกับคุณหนูรองฉางมายังเอ่ยคำว่าชาตินี้จะไม่พบกันอีก บัดนี้สกุลฉางกลับกลายเป็นผู้มีบุญคุณของสกุลโม่ไปได้
เรื่องนี้ไม่น่าขบขันหรอกหรือ
“ย่าไตร่ตรองดีแล้ว ในเมื่อมีวาสนาต่อกันอีกทั้งคนสกุลโม่ย่อมไม่ลืมบุญคุณคน เวลานี้ข้าวของเงินทองสกุลฉางมีไม่ขาดมือพวกเขายังร่ำรวยล้นฟ้า ย่าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณพวกเขาเช่นไร ในเมื่อหลานยังไม่รับฮูหยิน บุตรสาวคนโตของสกุลฉางเองก็ยังไม่ออกเรือน ย่าตรวจสอบแล้วนางมีนามว่าฉางเจียอันเป็นสตรีผู้งดงามไร้ที่ติ กิริยาเรียบร้อยเหมาะสมกับเจ้ายิ่งนัก ย่าจึงคิดว่าสองสกุลเกี่ยวดองกันเห็นจะเหมาะสมเพื่อยกฐานะคนสกุลฉางให้สูงกว่าฐานะเดิมเพื่อแทนคุณ”
หลุนฮูหยินมารดาของโม่หนิงหลงกลับไม่เห็นด้วย
“ท่านแม่เจ้าคะ แต่สกุลฉางเป็นเพียงสกุลพ่อค้าย่อมไม่เหมาะสมกับตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อนะเจ้าคะ ข้าไม่ยินยอม”