ตอนที่ 3 ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่
สองมือกำหมัดแน่น คิดว่าจะออกไปจัดการบุรุษขี้นินทาสองคนที่กล่าวหานางและบิดาทว่านางกลับฉุกคิดอะไรได้ก่อน
คนผู้นั้นบอกว่ากำลังจะกลับหรือ
ยามนี้นางอยู่ชั้นสอง หากเขากำลังจะกลับเช่นนั้นก็ต้องเดินผ่านตรงนี้ หึ เข้าทางนางแล้ว
ด้วยความสงสารเซียวเล่ยที่ใช้วาจาขอร้องไม่หยุดแม้ไม่อยากให้ยืมเงินด้วยเรื่องไร้สาระนี้แต่ในที่สุดโม่หนิงหลงก็ยินยอมให้ยืมเงินจำนวนนั้นแต่โดยดี
“ต่อไปอย่าให้มีเรื่องเช่นนี้อีก ข้าไม่ได้ตระหนี่กับสหายแต่เจ้าสมควรทำเรื่องที่สมควรได้แล้ว จะมัวทำตัวเสเพลเช่นนี้ไม่ได้”
“หมายความว่าเจ้าให้ข้ายืมหรือ”
“ข้าจะบอกเถ้าแก่ว่าให้ลงบัญชีจวนอ๋อง ให้พวกเขาไปเก็บที่นั่นก็แล้วกัน แต่ข้าหวังดีกับเจ้าอย่ายุ่งกับนางอีกเลยดีกว่า อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนเองอีก”
เซียวเล่ยก้มหน้าแต่ไม่รับคำ เขาชอบฉางเจียอีเพียงนั้นเขาย่อมไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
ฉางเจียอีกำมือแน่นโกรธจนแทบควันออกหู
“ข้าจะทำให้เจ้าสำนึกที่มาว่าร้ายข้า”
ฉางเจียอีวางแผนการอย่างรวดเร็วโดยที่โม่หนิงหลงไม่รู้เลยว่าบัดนี้มีสตรีเจ้าคิดเจ้าแค้นนางหนึ่งกำลังรอเล่นงานเขาอยู่
ครู่ต่อมาโม่หนิงหลงเดินลงมาจากชั้นสอง ระหว่างที่ลงจากบันไดนั้น จู่ ๆ ก็มีน้ำแกงร้อนสีเหลืองทองสาดลงมาโดยไม่ทันระวังตัว
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกตัวรวดเร็วนักทว่าเพราะเป็นสายน้ำเขาจึงไม่อาจหลบได้พ้น โม่หนิงหลงถูกราดไปด้วยน้ำแกงทั้งตัว คนในภัตตาคารล้วนหันมามองแล้วอุทานด้วยความตกใจ
ฉางเจียอีหัวเราะในใจ ก่อนจะเร้นกายหายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว คิดว่าสมน้ำหน้าคุณชายปากร้ายขี้นินทาไร้ความรับผิดชอบคนนั้นแล้ว นางเดินหนีมาอย่างสบายใจคาดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกดักหน้าเอาไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง
บุรุษใบหน้าหล่อเหลา เรือนกายสูงโปร่ง ที่สวมอาภรณ์สีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำแกงสีเหลืองทองที่นางสาดเข้าไปเต็ม ๆ
อา...เขารวดเร็วยิ่งนัก
ถึงจะตกใจที่เขามาดักหน้า แต่นางก็ไม่หวั่นเกรง นางแสร้งทำเป็นตีหน้าซื่อเมินเขาแม้ว่าในใจจะขบขันกับสภาพของเขาในยามนี้เพียงใดก็ตาม
นางพยายามเดินเลี่ยงไปทางอื่น แต่กลับถูกเขาขวางเอาไว้เช่นเคย นางหลบไปซ้ายเขาก็ดักซ้าย นางหลบไปขวาเขาก็ดักขวา
ฉางเจียอีกอดอก แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขาเอ่ยเสียงขรึม
“อ๊ะ ท่านมาขวางทางข้าทำไม ข้าไม่รู้จักท่าน ถอยไป”
“ทำความผิดยังคิดหนี เจ้าเป็นสตรีร้ายกาจไร้ความรับผิดชอบจริง ๆ สินะ จึงได้คิดเล่นงานคนลับหลังโดยไร้สาเหตุเช่นนี้”
“ข้าหรือ ข้าทำความผิดอันใด มีหลักฐานหรือไม่ อ๊ะ ดูท่านสิ ทำไมสภาพเป็นเช่นนี้ ไปวิ่งฝ่าฝนน้ำแกงมาหรือ ดูหน้าท่านสิ ดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”
นางแสร้งทำสีหน้าตกใจ แววตาฉายแววสะใจอยู่ไม่น้อย เขาจ้องนางเขม็งเหมือนจะสังหารนางให้ตายตรงนี้แต่ฉางเจียอีไม่หวาดกลัว
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด”
หลังจากที่เขาถูกราดด้วยน้ำแกง เขาเห็นอาภรณ์สีฟ้าสดใสของนางอย่างชัดเจนแม้จะไม่เห็นหน้าเขาก็ตามรอยเท้าของนางมาได้อย่างรวดเร็วกระทั่งได้พบว่าเป็นสตรีที่เขาเคยมีเรื่องราวกับนางเมื่อวันก่อน
สตรีนางนี้เจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่งนัก
“ผู้ใดทำท่านเกี่ยวอันใดกับข้า”
นางยังปากแข็ง เขาจึงจับมือของนางแล้วชูขึ้น จากนั้นก็ก้มลงดม ฉางเจียอีโกรธจัดจู่ ๆ ก็ถูกเขาล่วงเกินเช่นนี้
“ท่านทำอะไร ปล่อยข้านะ”
เขายังกำข้อมือนางแน่น ดวงตาแดงฉาน
“มือของเจ้าเต็มไปด้วยคราบน้ำแกง ยังมีกลิ่นน้ำแกงติดมือ ข้าเห็นว่าคนร้ายที่เล่นงานข้าสวมอาภรณ์สีฟ้ากับตา รอยรองเท้าของเจ้าที่เหยียบน้ำแกงที่หกเลอะพื้นอีก ยังจะมีสิ่งใดแก้ตัว”
“แกงนี่ใครเป็นของขึ้นชื่อของภัตตาคารแห่งนี้ ใคร ๆ ก็สั่งได้ คงมีใครสักคนรังเกียจท่านจนอยากเอาน้ำแกงราด ท่านไปหาคนร้ายสิ จะมาใส่ความข้าทำไม”
“เจ้าคงเคียดแค้นข้าในวันนั้นที่ได้เจอ ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคนผิดแท้ ๆ”
โม่หนิงหลงคิดว่าสาเหตุมาจากวันแรกที่เจอกัน โดยที่เขาไม่รู้เลยว่านางคือคนที่เซียวเล่ยต้องเสียเงินเสียทองให้นาง
“ไปที่อำเภอกับข้า ข้าจะจับคนร้ายเช่นท่านเข้ากรงขัง หลักฐานนั้นไม่ต้องกลัว ข้าโม่หนิงหลงไม่จับคนส่งเดช”
ก่อนที่จะมาดักนางตรงนี้เขาได้สั่งให้คนของเขาจัดการเก็บหลักฐานเรียบร้อยแล้ว
ฉางเจียอีร้องตะโกนสุดเสียง
“นี่ปล่อยนะ ปล่อย คนบ้า ปล่อยข้านะ”
นางดิ้นรนขัดขืน แต่โม่หนิงหลงกลับไม่ยอมปล่อย เขารวบร่างนางเอาไว้แล้วแบกนางขึ้นบ่า จากนั้นจึงพาคนร้ายเหินออกจากทางหน้าต่างตรงไปว่าการนายอำเภอทันใด
นายอำเภอย่อมรู้จักคนทั้งสองเป็นอย่างดี คนหนึ่งคือซื่อจื่อแห่งจวนซวินอ๋อง บิดาเป็นเจ้าเมืองลั่วหยางและแน่นอนว่าคนที่มีอำนาจในลั่วหยางจริง ๆ ก็คือโม่หนิงหลงผู้นี้
ส่วนอีกคนหนึ่งคือบุตรสาวของพ่อค้าใหญ่ฉางผู้ร่ำรวยที่ทำการค้าและปล่อยเงินกู้ ซึ่งแน่นอนว่านายอำเภอก็คือหนึ่งในลูกหนี้ของพ่อค้าใหญ่ฉางนั่นเอง
ยามนี้นายอำเภอจึงได้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อโม่หนิงหลงแบกร่างเล็กของฉางเจียอีมาให้เขาตัดสินความผิด
“หลักฐานพยานพร้อม ให้ท่านนายอำเภอไปสืบความได้ที่ภัตตาคาร ข้าให้คนของข้ากันที่เกิดเหตุเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดมายุ่งแล้ว”
ท่าทางของนายอำเภอที่อ่อนน้อมต่อหน้านางผู้นี้ทำให้โม่หนิงหลงขมวดคิ้ว
“ท่านรู้จักนางหรือ”
นายอำเภอรีบพยักหน้า
“ย่อมรู้จักขอรับ นางคือคุณหนูรองฉาง ฉางเจียอีบุตรสาวคนรองของพ่อค้าฉางขอรับ”
โม่หนิงหลงเองเพิ่งรู้ว่าที่จริงนางคือผู้ใด คนที่ทำให้ผู้คนที่ไปไหว้พระเดือดร้อน และคนที่ทำให้เซียวเล่ยเดือดร้อนก็คือนางนี่เอง
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าหรือ งานถนัดของเจ้าก็คือการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนสินะ สมควรถูกลงโทษนัก”
ฉางเจียอีกอดอกจ้องเขาเขม็ง
“ท่านนายอำเภอ ท่านก็รู้จักเขาหรือ”
นายอำเภอปาดเหงื่อ เพิ่งผ่านปีใหม่มาแท้ ๆ ไยเขาจึงโชคร้ายเช่นนี้
“ขอรับ นี่คือโม่ซื่อจื่อ บุตรชายโม่อ๋องเจ้าเมืองลั่วหยางขอรับ”
ฉางเจียอีถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะหัวเราะเย็นชา
“ที่แท้ก็คนมีอำนาจสินะ จึงได้ใช้อำนาจข่มเหงชาวบ้านตาดำ ๆ เช่นข้า โม่หนิงหลงข้าไม่กลัวท่าน ท่านฟ้องร้องข้า ข้าก็จะฟ้องร้องท่าน”
โม่หนิงหลงไม่เคยพบสตรีที่เถียงคำต่อคำเช่นนี้มาก่อน ในใจจึงรู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อย
“ฉางเจียอีเจ้าพูดมา ข้ามีความผิดใด”
ฉางเจียอีส่งเสียง หึ ในลำคอ แล้วเอ่ยว่า
“สุภาพชนไม่ควรนินทาสตรีลับหลัง ความผิดนี้ข้าได้ยินเต็มสองหูท่านก็สมควรได้รับโทษถูกคุมขัง นายอำเภอเขานินทาข้ากับท่านพ่อของข้าลับหลัง ก่อนหน้านั้นยังวิ่งม้าด้วยความเร็วบนท้องถนนทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก จับเขาเข้าคุกเลย”
โม่หนิงหลงตอบน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าเพียงแต่พูดตามความจริง พ่อค้าใหญ่สกุลฉางหน้าเนื้อใจเสือ ทำการค้ากดดันคน ปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยเกินความจำเป็นข้ากล่าวผิดตรงไหน ส่วนเรื่องวันนั้นก็เป็นเจ้าที่ไม่ดูตาม้าตาเรือและไร้ฝีมือยังกล้าไปขี่ม้ากลางถนนอีก ข้าไม่จับเจ้าเข้าคุกก็นับว่าเมตตาแล้ว”
“หึ ท่านจะบอกว่าท่านไม่ผิดเช่นนั้นหรือทั้ง ๆ ที่ต้นเหตุคือท่านทั้งหมด ท่านมันก็แค่บุรุษปากมากยิ่งกว่าสตรี เช่นนั้นไม่เอาเสื้อผ้าสตรีมาสวมเลยเล่า”
สีหน้าโม่หนิงหลงจากราบเรียบกลายเป็นแดงก่ำ
“นี่เจ้า อย่ามาเฉไฉ เจ้าทำความผิดคิดเล่นงานคนอื่น ถึงขั้นเทน้ำแกงราดหัวของข้าเช่นนี้จะคิดใช้วาจาหลีกเลี่ยงหลบหนีหรือ”
เมื่อถูกไล่บี้เช่นนั้นฉางเจียอีเองก็ไม่เกรงกลัว นางพอรู้กฎหมายมาบ้างนางจึงเอ่ยว่า
“กฎหมายว่ากันด้วยเจตนา ข้าไม่ได้ตั้งใจทำน้ำแกงหก แต่มันดันหล่นมือ แล้วความผิดเรื่องนินทาคนลับหลังของท่าน ท่านจะเฉไฉหรืออย่างไร”
“หึ ไม่ได้เจตนาแต่คุณหนูเช่นเจ้าจะบอกว่ายืนถือชามน้ำแกงอยู่นอกห้องและบังเอิญทำร่วงใส่ศีรษะของข้าเช่นนั้นหรือ พิรุธมากเพียงนี้คงตบตาผู้อื่นได้หรอก”
เขาจ้องนาง นางจ้องเขาไม่ลดละเห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดยอมใคร
“ข้าอยากจะถือถ้วยน้ำแกงยืนที่ไหนล้วนไม่เกี่ยวกับท่าน”
“อ้อ ไม่เกี่ยวกับข้าหรือ ดูเหมือนว่าบัดนี้จะเกี่ยวกับข้าโดยตรงแล้ว”
เขาชี้ไปที่ศีรษะที่ยังเปียกไปด้วยน้ำแกง และยังมีอาภรณ์ที่เลอะเทอะของเขาอีก จากนั้นเขาก็หันไปสบสายตากดดันท่านนายอำเภอ
นายอำเภอเอ่ยว่า
“ซื่อจื่อเช่นนี้ดีหรือไม่ นางทำผิดก็ให้ชดใช้ค่าเสียหาย”
จากนั้นก็หันไปขอร้องฉางเจียอี
“คุณหนูยอมชดใช้ก็แล้วกันไปเถิดขอรับ”
โม่หนิงหลงไม่สนใจสักนิด
“ข้าไม่รับเงินของนาง ให้นางเข้าคุกสักวันสองวันชดใช้ความผิด”
นายอำเภอถึงกับปาดเหงื่อ ตั้งแต่คนสองคนเข้ามาในที่ว่าการแห่งนี้เขาได้แต่ยืนหน้าซีด ยกมือห้ามทัพเกรงคนทั้งสองจะลงมือลงไม้กัน
แม้จะรู้ว่าเขาคือบุตรเจ้าเมือง สตรีผู้นี้กลับไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย