บทนำ
บทนำ
ผักบุ้งถูกมัดด้วยกาบกล้วยเป็นกำขนาดกลาง จากนั้นจึงพากันลำเลียงใส่รถเข็นสามล้อโครงเหล็กที่เพิ่งซื้อเมื่อไม่นานตามคำขอของเด็กวัยเจ็ดขวบที่อยากริเริ่มทำธุรกิจของตนเอง คนเป็นแม่จึงต้องสนับสนุนเมื่อฟังแผนที่สองหนุ่มร่ายยาว
ไม่น่าเชื่อว่าอายุแค่นี้ เพิ่งเข้าชั้นประถมศึกษาไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน จะสามารถนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ได้อีกต่างหาก
ดวงหน้านวลสวยมีเหงื่อชื้นตามไรผมจากอากาศที่ร้อนระอุ ยกแขนขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อจากนั้นค่อยยืนเหยียดตรง บิดกายเล็กน้อยไล่ความเมื่อยล้า หล่อนทำงานกลางแจ้งทั้งวันไม่ได้หยุดหย่อน
ตื่นเช้าไปขายอาหารที่ตลาด พอช่วงสายก็เข้าไร่เก็บพืชผลทางการเกษตรส่งขายที่ตลาดใหญ่ในตัวอำเภอ ช่วงบ่ายก็เก็บเมล็ดของผักบรรจุใส่ซอง ส่งขายตามออเดอร์ที่สั่ง ซึ่งช่วงหลังคนมักจะปลูกผักกินเองบ่อย ทำให้หล่อนพลอยขายเมล็ดพันธุ์ได้มากกว่าเมื่อก่อน
ไหนจะงานอีกจิปาถะที่ค่อยงอกขึ้นมาเรื่อยๆ ตามความคิดของหญิงสาว
“ไหนลองบอกมาสิว่าจะไปขายที่ไหนบ้าง” ผักบุ้งถูกจัดวางสวยงามอยู่ที่รถเข็น เธอมองลูกชายของตนที่อยู่ในชุดไปรเวทกับหลานชายซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียง แต่เพราะพ่อแม่ไปทำงานต่างจังหวัด อยู่กับยายเพียงแค่สองคนจึงชอบมาเล่นบ้านหล่อน จนกลายเป็นลูกชายอีกคนไปแล้ว
“ขายในหมู่บ้าน แล้วก็แวะไปที่หมู่สามครับ” วาจาฉะฉานกับดวงตามุ่งมั่นทำให้พอคลายใจได้บ้าง จากที่เลี้ยงเด็กทั้งสองมาหลายปี รู้นิสัยใจคอดีว่าน่าจะเอาตัวรอดได้ เก่งเกินเด็กเจ็ดขวบกันทั้งสองแต่นิสัยต่างกันหน่อย
ลูกชายของหล่อนหรือเด็กชายป้อมปราการจะไม่ค่อยพูด เป็นคนนิ่งเงียบชอบเก็บทุกสิ่งเอาไปคิด เรียนเก่งแต่ไม่ค่อยอยากแสดงความสามารถ ต่างจากหนุ่มน้อยข้างบ้านอย่างเด็กชายเหนือเมฆที่ช่างพูดเจรจา ยิ้มสดใสชอบชวนคุย มนุษยสัมพันธ์ดีแต่การเรียนเข้าขั้นวิกฤตจนเพื่อนต้องช่วยติวและสอนทำการบ้านทุกวัน
กระนั้นทั้งสองก็ยังเข้ากันได้...หากป้อมปราการโดนกลั่นแกล้ง ก็จะมีเหนือเมฆเข้าไปตะลุมบอนคนพวกนั้นจนต้องเข้าห้องปกครองทั้งสองคน
ลำบากหล่อนต้องไปหาที่โรงเรียนแล้วพากลับบ้าน ส่วนมากก็โดนล้อเรื่องไม่มีพ่อ...ป้อมปราการทนได้ไม่โต้ตอบ แต่คนที่ทนไม่ได้คือเหนือเมฆต่างหาก
“ขายเท่าไหร่”
“กำล่ะสิบบาท แต่ถ้าซื้อสามกำลดให้เหลือยี่สิบห้าบาทครับ” ลูกชายตอบพลางหยิบถุงพลาสติกวางไว้ในรถเข็น ค่อยหยิบกระเป๋าที่มีเงินทอนมาสะพายข้าง เตรียมตัวเป็นอย่างดีกับการขายของครั้งแรก เพื่อหาเงินแบ่งเบาภาระของทางบ้าน ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ขัดสนสักนิด
“โอเค ถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรหาแม่ทันทีเข้าใจไหม เดี๋ยวแม่จะทำข้าวเย็นไว้รอ ขายหมดอย่าไปเถลไถลที่ไหน หรือถ้าขายไม่หมดหกโมงเย็นให้กลับบ้านทันที ของที่เหลือแม่จะเอาไปทำอาหารขายพรุ่งนี้ เข้าใจไหมสองหนุ่ม” กำชับเสียงเข้มแล้วมองหน้าเด็กชายสลับกัน ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ถึงขั้นอยากตามไปดูให้เห็นกับตา แต่เพราะยังต้องทำงานอื่นและอาหารเย็น จึงต้องปล่อยลูกไปตามลำพัง
“เข้าใจครับ” ตอบรับเสียงแข็งขันพร้อมกัน จากนั้นจึงจับรถเข็นแล้วเดินออกจากลานกว้างหน้าบ้าน หล่อนมองตามก็รู้สึกเป็นห่วงจึงได้กำชับอีกครั้ง
“ระวังตัวด้วยล่ะ” ขายในหมู่บ้านมีแต่คนที่รู้จักคุ้นเคยกัน คงไม่มีอันตรายอะไรมากนักหรอก จึงเบาใจไปเปราะหนึ่ง
“ครับแม่” ป้อมปราการตะโกนกลับพร้อมหันมายิ้ม เธอตื้นตันจนน้ำตาซึม ไม่คิดว่าตนจะสามารถเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาได้จนถึงวันนี้ ลูกชายแบเบาะที่เอาแต่ร้องไห้ เติบโตมาเป็นคนช่างคิดช่างฝัน ช่วยแบ่งเบาภาระเธอในหลายครั้ง
ยามน้อยใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเองก็มีลูกคอยอยู่เคียงข้าง เธอเคยคิดว่าเด็กน้อยเหมือนตราบาป แต่นานวันไปก็เริ่มเปลี่ยนเป็นของขวัญที่มาเติมเต็มให้ความเปล่าเปลี่ยวในหัวใจกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง หล่อนอยากมีชีวิตต่อไปเพื่อคอยดูแลเด็กชายป้อมปราการให้เติบใหญ่
เฝ้ามองความสำเร็จของลูกชาย...ที่เธอเลี้ยงดูเพียงผู้เดียว
เด็กน้อยสองคนเข็นรถผ่านหน้าบ้านใครก็ตะโกนขายผักบุ้ง หลายคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีก็ช่วยอุดหนุนคนละสองสามกำบ้าง ผักที่เคยเต็มจึงพร่องไปกว่าครึ่ง สร้างความดีใจให้พ่อค้ามือใหม่เป็นอย่างมาก
เหนือเมฆมีหน้าที่เรียกคนซื้อเพราะเพื่อนสนิทไม่ค่อยถนัดพูดเท่าไหร่ แต่เก่งคำนวณจึงสามารถคิดเงินและทอนได้อย่างรวดเร็ว สมกับตำแหน่งที่หนึ่งของห้องและที่หนึ่งของสายชั้น เขาก็ได้พึ่งใบบุญของป้อมปราการไปด้วย
“ผักบุ้งไหมครับ ผักบุ้งสดใหม่กรอบหวานอร่อยนะครับ กินแล้วช่วยบำรุงสายตา ทำอาหารได้หลายเมนู ใครสนใจแวะมาซื้อได้ครับ กำล่ะสิบบาทเท่านั้น พิเศษสำหรับขายวันแรกสามกำยี่สิบห้าบาทครับ ซื้อไหมครับ ผักบุ้งสดๆ นะครับ” เดินมาถึงตลาดหน้าหมู่บ้าน ฝั่งตรงข้ามมีร้านขายอุปกรณ์การเกษตรและข้าวของเครื่องใช้
เป็นเหมือนขุมทรัพย์ของหมู่บ้านก็ว่าได้ มารดาของป้อมปราการก็ต้องมาซื้อปุ๋ยที่นี่ แต่บางครั้งก็ใช้ลูกชายมาซื้อแล้วค่อยให้คนงานไปส่งที่บ้าน
“มึงไม่ช่วยกูพูดเลย” หันมาโวยวายคนร่างผอมผิวขาว อาจเพราะป้อมปราการไม่ค่อยชอบออกแดด ผิวจึงไม่สองสีเหมือนเหนือเมฆซึ่งชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง ทั้งรูปร่างสองหนุ่มยังค่อนข้างต่างกันอีก คนช่างพูดค่อนไปทางอวบ
ยามอยู่ด้วยกันจึงถูกล้อว่าโอ่งกับไม้จิ้มฟัน...
“ผักบุ้งครับ สิบบาท ผักบุ้งครับ สามกำยี่สิบห้า ผักบุ้งครับ” เมื่อโดนว่าก็จำต้องช่วยขายบ้าง แต่วาจากลับเนือยจนดูเหมือนจะไล่ลูกค้ามากกว่าเรียก ทำให้เพื่อนต้องตบบ่าพลางส่ายศีรษะระอา
“มึงคิดเงินไปดีกว่า เดี๋ยวกูพูดเอง” จากนั้นก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเหนือเมฆดังตลอดเวลา ผู้คนเดินผ่านต่างเอ็นดูจึงได้ช่วยอุดหนุน สร้างรอยยิ้มแก่พ่อค้าเด็ก รีบรับเงินมาใส่กระเป๋าเอาไว้แล้วนำผักบุ้งใส่ถุงยื่นให้ลูกค้า ไม่ลืมขอบคุณเสียงหวานทั้งอ้อนให้กลับมาซื้ออีก
แบบนี้ใครบ้างจะไม่หลง ดูเหมือนการค้าจะเป็นไปในทางที่ดีกว่าคาดเอาไว้ สงสัยพรุ่งนี้ต้องมาขายอีก
“ใครมาเสียงดังอยู่หน้าร้าน” ร่างหนาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสามส่วนเดินมาจากหลังร้าน พลางชะเง้อมองฝั่งตรงข้ามที่เป็นตลาด ส่วนมากเสียงก็จะดังอยู่แล้วแต่วันนี้กลับเจื้อยแจ้วกว่าวันอื่นจนนึกสงสัย
‘มีทรัพย์’ ยังคงชายดีตลอดทั้งวัน ช่วงเย็นมีคนมาซื้อของมากกว่าเวลาอื่น หรือไม่ก็รับสายโทรศัพท์แล้วไปส่งถึงบ้าน โดยไม่คิดค่าส่งหากอยู่ในหมู่บ้าน แต่ถ้าเกินห้ากิโลเมตรก็คิดเป็นกิโลเมตรล่ะสิบบาท ถือเป็นค่าน้ำมันในการส่ง
นอกจากร้านในหมู่บ้าน ยังมีร้านขนาดใหญ่ในตัวเมืองที่ขายดีไม่แพ้กัน ขึ้นชื่อเรื่องขายอุปกรณ์ทางการเกษตรที่คนต้องแวะเข้ามาซื้อ เปิดมาแล้วหลายสิบปีจนเป็นร้านประจำของหลายครัวเรือน
ดวงตาเรียวจ้องมองเด็กตัวเล็กที่ยืนขายผักอยู่หน้ารถเข็นสามล้อ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าเด็กกำลังถูกใช้แรงงานให้ออกมาขายของ ทั้งที่อยู่ในวัยควรศึกษาเล่าเรียนและเล่นสนุกกับเพื่อนไม่ใช่เหรอ
พ่อแม่สมัยนี้คิดแต่จะมีลูก ไม่มีปัญญาเลี้ยงก็ให้ลูกทำงานตั้งแต่เด็ก...ไม่ไหวเลยจริงๆ
“พอดีมีเด็กมาขายของน่ะพี่ แล้วลูกค้าพากันจอดซื้อหน้าร้านเรา แต่มันก็ไม่ดังเท่าไหร่นะพี่ปลื้ม...ผมฟังก็ไม่ค่อยจะได้ยิน” ถึงจะมีถนนเล็กกั้น แต่เพราะยืนอยู่ตรงข้ามหน้าร้านจึงได้ยินเสียงชัดเจน เขาเห็นคนเข้าไปซื้อสองถึงสามคน แต่ของก็ยังเหลือครึ่งรถเข็น
ไม่รู้ว่าตอนไหนจะได้กลับบ้าน
ร่างหนาจ้องอยู่อย่างนั้นพลันได้สบตากับเด็กตัวเล็กผิวขาว ก่อนอีกฝ่ายจะรับเงินจากลูกค้าแล้วทอนเงินอย่างคล่องแคล่ว แทบไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลขหรือใช้เวลาคำนวณนาน...เก่งไม่เบา
“เด็กมาขายของ ลูกใครทำไมพ่อแม่ต้องให้ออกมาหาเงินเอง ใช้แรงงานเด็กแบบนี้ผิดกฎหมาย...ใช้ไม่ได้เลย” ส่ายศีรษะด้วยความระอา จากนั้นก็หยิบถุงขนมในร้านมาแกะกินตามใจชอบ เดี๋ยวค่อยจ่ายทีหลังไม่เป็นไรหรอก อย่างไรตนเองก็เป็นลูกชายเจ้าของร้าน ใครจะกล้ามาว่าล่ะ
“ลูกของน้องกระต่ายแฟนเก่า...เอ่อ ลูกของกระต่ายน่ะพี่” ลูกน้องในร้านที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กยืนกินส้มข้างลูกพี่ แล้วกล่าวอย่างไม่ระวังปากจนเจอสายตาดุจึงรีบเปลี่ยนประโยคทันที ไม่อยากโดนตัดเงินเดือนที่เหลือน้อยนิดเพราะเอาไปลงกับการซื้อของให้แฟนสาว
ปอมเพิ่งคบแฟนคนนี้ได้ไม่นาน ทั้งรักทั้งหลงจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ฝ่ายนั้นอยากได้อะไรเขาก็ทุ่มไม่อั้นขอเพียงเธอมีความสุข คลั่งรักเหมือนลูกพี่สมัยมัธยมไม่มีผิด
“เหอะ นึกว่าลูกใคร พ่อรวยไม่ใช่หรือไง เป็นถึงเจ้าของตึกเช่าในตัวเมืองยังให้ลูกมาเร่ขายของอีก คนเป็นแม่ก็ไม่ห้ามอะไรเลย สงสัยอยากหาเงินหลายทาง คงขี้เกียจส่งเสียลูกน่ะสิ” ขนมที่อยู่ในมือเกือบหลุดลงพื้น แต่ก็กำไว้แน่นจนมันแทบแหลก
ผ่านไปแปดปีไม่คิดว่าหล่อนจะมีลูกโตขนาดนี้...ผู้หญิงที่ทิ้งเขาไปแต่งงานกับชายคนอื่น
คราวนี้ชายหนุ่มนิ่งค้าง ทำได้เพียงแค่มองลูกชายของอดีตคนรัก หัวใจเจ็บแปลบยามคิดถึงอดีตอันหวานชื่น ก่อนมันจะขมยิ่งกว่าบอระเพ็ด เมื่อกลับมาบ้านแล้วพบหล่อนอยู่ในงานหมั้นกับผู้ชายที่เขาเคารพ สวมแหวนให้แก่กันอย่างชื่นมื่น
ทั้งที่หล่อนเคยบอกไว้ว่าหลังเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จะสอบเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน
หึ...แค่คำลวงเท่านั้น
“พี่ปลื้ม...ผัวกระต่ายตายนานแล้ว น้องเลี้ยงลูกคนเดียวมาตั้งหลายปี ก่อนหน้านั้นพ่อก็เพิ่งเสีย...พี่รู้หรือเปล่าว่าแม่เขาหนีตามผู้ชายไป” ปอมกินส้มพลางเอ่ยโดยไม่ได้คิดอะไร ข่าวนินทาของหมู่บ้านเขารู้หมดทุกอย่าง
คนที่เพิ่งทราบเรื่องทั้งหมดนิ่งค้าง เขาย้ายกลับมาอยู่บ้านเมื่อไม่นาน แล้วก็ยุ่งกับงานจนไม่ได้อัพเดทเรื่องของใครในช่วงปัจจุบัน ปากหยักเผยอค้างเมื่อคิดว่าผู้หญิงเพียงคนเดียวเลี้ยงลูกโดยลำพัง ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ
แต่แล้วอย่างไรล่ะ...เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย
สมควรแล้วที่จะโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว
“อ้าว พี่จะไปไหน” ร่างหนาทิ้งถุงขนมลงถังขยะหน้าร้าน จากนั้นจึงเดินตรงไปยังรถเข็นของเด็กน้อยซึ่งยังตะโกนขายผักไม่หยุดหย่อน ราวกับมีโทรโข่งติดอยู่ลำคอ ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนจะมีลูกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน คงมีความสุขกับชีวิตแต่งงานน่าดู
เสียดายที่สามีเสียชีวิตไปซะก่อน ไม่อย่างนั้นคงเป็นครอบครัวสุขสันต์ของหมู่บ้าน นั่งเชิดคอเป็นคุณนายเจ้าของตึกหลายแห่งในจังหวัดไปแล้ว
“ขายเท่าไหร่” ใบหน้าคมกับเสียงเข้มทำให้เด็กน้อยสะดุ้ง เหนือเมฆรีบยิ้มการค้าขณะที่ป้อมปราการยังคงเงียบเพราะหน้าที่ขายเป็นของเพื่อน ตนแค่คิดเงินและทอนเท่านั้น
“กำล่ะสิบบาทครับ สามกำยี่สิบห้าบาท” วาจาฉะฉานจนคนตัวสูงไม่อาจละสายตาได้ สองคนนี้จะว่าหน้าคล้ายบุพการีก็ใช่ แต่ก็ไม่ทั้งหมด
ดูเหมือนคนตัวผอมจะมีเค้าโครงของแม่เยอะกว่า เพียงแค่จ้องเข้าไปในดวงตาก็เหมือนเห็นหล่อนมายืนตรงหน้า ต่างเพียงแค่เพศและส่วนสูงเท่านั้น ส่วนเด็กร่างท้วมโดยรวมแล้วคงคล้ายพ่อมากกว่า
ยิ่งเห็นก็รู้สึกหงุดหงิด...ไม่นึกว่าตนจะถูกแทงข้างหลังจากคนที่รักและรุ่นพี่ที่เคารพมาหลายปี การแตกหักครั้งนั้นถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก จึงตัดขาดจากทั้งสองไม่รับรู้ความเป็นไป เพียงแค่ใครเอ่ยถึงชื่อคนทรยศก็ถูกมองตาขวางทันที
“เหมาหมด” ไม่รู้ทำไมปากจึงไวกว่าความคิด เขามองผักบุ้งเกือบสิบมัดแล้วก็นึกในใจว่าจะเอาไปทำอะไรกิน ตนไม่ได้ชอบกินผักสักหน่อย
“จริงเหรอครับ ลุงจะเหมาหมดจริงเหรอ” เด็กทั้งสองยิ้มกว้างด้วยความดีใจ คิดว่าจะต้องขายนานกว่านี้เสียอีก แต่แค่ห้าโมงเย็นฟ้าไม่ทันมืดก็ได้กลับบ้านแล้ว ดีใจจนเกือบกระโดดโลดเต้นที่วันแรกขายดีกว่าคาด
“ใช่ เหมาหมดเลย...นี่เงินค่าผักไม่ต้องทอน ไม่อยากได้เหรียญ ไม่ชอบแบงค์ร้อยหรือแบงค์ยี่สิบด้วย” ยื่นเงินที่ใส่ติดกระเป๋าไปตรงหน้าคนขาย พร้อมกำชับอย่างจริงจังว่าตนไม่ต้องการเงินทอน หาเหตุผลมาอ้างถึงมันอาจจะดูไม่น่าเชื่อนัก
“ไอ้ปอมมาขนผักเข้าบ้าน” ตะโกนเรียกลูกน้องที่กำลังยืนกินส้มแล้วมองมาด้วยความทึ่ง ไม่คิดว่าลูกพี่ของตนจะซื้อผัก แต่พอเห็นเด็กชายสองคนที่ช่วยกันนำผักบุ้งใส่ถุงก็ต้องรีบรับมาถือเอาไว้อย่างจำใจ เป็นรองทุกด้านจะเอ่ยทัดทานอย่างไร
ซื้อมัดสองมัดเขาคงไม่ว่า แต่เล่นเหมาหมดแบบนี้คงไม่ต้องเดาเลยว่าทำไปเพราะอะไร
คงตัดใจจากแม่ของเด็กน้อยไม่ขาดจริงดังปากว่าหรอก...
“ขอบคุณครับ! พรุ่งนี้พวกเราจะมาขายใหม่นะ” สำหรับปอมมันคือคำที่แสนน่ากลัว เขาค่อยเหลือบมองลูกพี่ช้าๆ ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้จะเหมาหมดอีกหรอกนะ แค่คิดก็ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ต่อจากนี้ตนอาจจะต้องกินผักประทังชีวิต
เมื่อขายหมดจึงพากันเข็นรถกลับบ้านโดยไม่ลืมไหว้ขอบคุณลูกค้าผู้ใจดี ถึงจะหน้าตึงไปหน่อยแต่ก็เหมาของจนหมด ทั้งยังให้เงินมาเกินราคาเป็นเท่าตัว การขายครั้งนี้มีแต่คุ้มกับคุ้ม
“ลุงเขาใจดีมากเลย เขาเป็นใครวะทำไมกูไม่คุ้นหน้า” ระหว่างทางกลับบ้านเหนือเมฆก็หันมาถาม ตนรู้จักคนเยอะแต่กับผู้ชายร่างสูงใหญ่กลับไม่เคยเห็นหน้าเลย
“ไม่รู้จักเหมือนกัน” ส่ายศีรษะพลางคิดถึงแววตาคมที่มองมายังตนเอง แปลกที่รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด เหมือนคุ้นเคยทั้งที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก
“ช่างเถอะ เขาเหมาหมดเราก็ได้กลับบ้านเร็ว ไปบอกน้าต่ายดีกว่าว่าวันแรกขายหมดถือเป็นฤกษ์ดี จะได้นับเงินมาแบ่งกันแล้วก็ให้น้า...ขายของมันก็ไม่ยากนี่หว่า อนาคตกูจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยสุดในหมู่บ้าน มึงล่ะอยากเป็นไร...มาเป็นคนคิดเงินให้กูไหม”
ระหว่างทางก็เจื้อยแจ้วไม่หยุด ทำให้ป้อมปราการไม่เคยพบกับคำว่าเหงาอีกเลย
“ไม่ล่ะ กูอยากเป็นหมอ เผื่อจะช่วยชีวิตพ่อกับตาได้...” บอกเสียงเบาพลางก้มหน้าในประโยคสุดท้าย
ตั้งแต่ลืมตาดูโลกก็เจอพ่อเพียงแค่ในรูปถ่าย กราบไหว้ท่านในวันครบรอบการจากไป...
“ดึงเศร้าทำไมวะไอ้นี่ ป่ะ กลับบ้านไปหาน้าต่ายดีกว่า กูหิวข้าวแล้วเนี่ย น้าจะทำอะไรให้กินวะ ถ้าได้ทอดไก่กรอบๆ คงอร่อย” กอดคอเพื่อนแล้วพาเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่อยากสร้างบรรยากาศแสนเศร้า
“กูอยากกินไข่พะโล้”
“อีกล่ะ กูล่ะเบื่อไอ้เมนูโปรดของมึง กินมันได้ทุกวัน กูอยากกินทอดไก่” ถอนหายใจหนักเมื่อป้อมปราการยังคงยืนกรานจะกินเมนูโปรดอย่างไข่พะโล้ เขาไม่เห็นว่ามันจะอร่อยตรงไหน สู้ไก่ทอดก็ไม่ได้ โดยเฉพาะฝีมือของน้าต่าย อร่อยจนอยากกินทุกวัน
ถึงไม่ได้ยินเสียงแต่เขาก็มองเด็กน้อยสองคนเดินคุยกันไปจนลับตา จากนั้นจึงพรูลมหายใจเสียงเบาพลางเกาศีรษะตนเอง ไม่เข้าใจว่าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
แต่มีคนสงสัยมากกว่าอีก...
“พี่ พี่ซื้อมาทำไมเยอะแยะ อยากทำโรงทานแจกคนทั้งหมู่บ้านเหรอ” ปอมทำหน้าระอาพลางยกถุงผักบุ้งที่ถือเต็มสองมือขึ้นถาม แค่มองของในมือก็ทำให้คนชอบกินเนื้อแทบร้องไห้แล้ว ตนจะต้องกินผักบุ้งทั้งหมดนี้จริงเหรอ
“เรื่องของกู มึงไปคิดเองว่าจะทำอะไร ทำเสร็จก็ไปแจกจ่ายข้างบ้านก็ได้” สั่งจบก็เดินเข้าร้าน พอเห็นลูกค้ากำลังคิดเงินจึงไม่อยากรบกวนด้านหน้า ถึงได้เข้าไปหลังร้านที่เป็นโซนบ้านพักของตนที่อยู่มาตั้งแต่เกิด
เขานั่งลงยังโซฟาไม้ตัวยาวที่โปรดปรานของมารดา โดยมีปอมตามมาติดๆ หลังจากวางผักไว้ในครัวเพื่อให้แม่ครัวเป็นคนทำอาหารเย็น ไม่ลืมกำชับถึงคำสั่งของลูกพี่ว่านำอาหารมื้อนี้ไปแจกเพื่อนบ้าน
มีแววว่าพรุ่งนี้คงได้อุดหนุนลูกชายของคนรักเก่าอีก...
“พี่เหมาหมดแบบนี้เพราะสงสารลูกของพี่ต่ายเหรอ” นั่งลงที่ว่างข้างคนตัวสูง แอบอมยิ้มขณะมองใบหน้านิ่งขรึม
“สงสารเหี้ยไร กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ แค่รำคาญเสียงเด็กมันดังหน้าบ้าน...ยิ้มทำไม” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ แววตาเอาเรื่องจ้องจนปอมเริ่มรู้แล้วว่าตนกำลังเล่นกับไฟ จึงถอยห่างออกมาให้พ้นระยะเท้าของอีกฝ่ายที่อาจมาประทับบนหน้าตน
“เปล๊า ผมก็ยิ้มไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละพี่”
“เดี๋ยวกูจะทำให้มึงยิ้มไม่ออกไปสักสามสี่เดือนดีไหม จะไปทำอะไรก็ไป เห็นหน้ามึงแล้วกูอารมณ์เสีย” โวยวายพลางถีบคนที่ตัวเล็กกว่าให้พ้นหน้า เขาอยากมีเวลาอยู่คนเดียวเพื่อคิดอะไรบางอย่าง
“ครับ เดี๋ยวผมไปช่วยป้าจัดการกับผักบุ้งที่พี่ซื้อก่อนนะ ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรดีแต่คิดว่าน่าจะทำอาหารแจกคนได้ทั้งหมู่บ้าน คบกันมาตั้งหลายปีเพิ่งรู้ว่าพี่ปลื้มเป็นคนน้ำใจงาม เป็นบุญของผมแล้วที่ได้เห็น” ไม่วายเอ่ยล้อพลางยักคิ้วหลิ่วตา สร้างความหงุดหงิดให้ร่างสูงมากกว่าเดิม
“มึงจะไปดีๆ หรือจะให้กูถีบแรงสักที” กดเสียงเข้มพลางยกเท้าขึ้นเพื่อเป็นการขู่
“ครับ ไปแล้วครับ” ปอมจึงรีบวิ่งไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงลูกพี่นั่งตกอยู่ในภวังค์ของอดีตที่ตนลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่พอได้กลับมาสถานที่เดิม...น่าแปลกที่ความทรงจำวัยเยาว์ย้อนกลับมา
จนเผลอคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขอีกครั้ง