2. งานแต่งแน่เหรอ
แสงแดดในช่วงบ่ายกำลังสาดส่องลงมากระทบใบหน้าสวย ซึ่งตอนนี้เธอมีสีหน้าเศร้ามิต่างจากคนสิ้นหวัง ก็จะไม่ให้เป็นแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่ออีกไม่ถึงสามวันเธอต้องเข้าพิธีแต่งงานกับคนที่แก่กว่าถึงสิบสี่ปี ใช่ทุกคนฟังไม่ผิดผู้ชายคนนั้นอายุมากกว่านิลินเป็นรอบ
“เศร้าเชียวมึง อีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ” ฐิสาเพื่อนสนิทคนเดียวของนิลิน สาวน้อยวัยสิบเจ็ดถามอีกฝ่ายขึ้น เมื่อยังเห็นว่าเธอยังคงนั่งเงียบอยู่ที่เดิม
“จะไม่ให้คิดได้ไง ผู้ชายคนนั้นควรแต่งกับพี่นาราไม่ใช่ฉันซะหน่อย ถ้าพี่เขาไม่หนีไปเมืองนอก เราก็ไม่ต้องมารับกรรมแทนแบบนี้หรอก”
“เฮ๊ย!! ขนาดนั้นเลยเหรอ เห็นว่าคุณคิมหันต์อะไรนั่นก็รวยล้นฟ้าเชียวนะ แต่งไปก็มีแต่จะนั่งเป็นคุณนาย”
“แกแต่งแทนฉันไหมล่ะ” นิลินหันมาถามเพื่อนสาวทันที ทำเอาอีกคนรีบส่ายหน้าเพราะเธอเองก็ไม่ชอบโดนจับคลุมถุงชนเหมือนกัน เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่รถจะมารับในช่วงปิดเทอมภาคสุดท้ายของการเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า
“เจอกันในงานแต่งแกนะนิลิน ฉันอยากเห็นหน้าเจ้าบ่าวแกแล้วสิ เห็นว่าอายุเลยเลขสามแล้วนี่”
“ก็นั่นน่ะสิ ฉันคงตกนรกทั้งเป็นแน่เลยแก” นิลินส่งเสียงคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร แต่จะให้เพื่อนอย่างฐิสาช่วยยังไงได้ ในเมื่อมันเป็นข้อผูกพันของสองครอบครัวที่มีมาตั้งแต่รุ่นปู่ ซึ่งมันควรจะหมดไปแล้วในยุคนี้ หากไม่ทำตามต้องยกสมบัติครึ่งหนึ่งที่มีให้กับอีกฝ่าย แล้วแบบนี้ใครจะไปยอมล่ะ
แต่อันที่จริงมันควรจะเป็นหน้าที่ของนาราพี่สาวของเพื่อนสนิทมากกว่า เพราะนั่นเป็นลูกคนโต แต่จู่ๆ เธอก็หนีหายไปตั้งแต่ปีที่แล้วป่านนี้ยังไม่ได้ข่าว
“เอาเถอะ เขาอาจจะดีกับแกก็ได้ ผัวแกเขาคงทั้งรักทั้งหลงแกแน่เชื่อสิ ไม่งั้นแกก็บอกคุณลุงยกสมบัติครึ่งหนึ่งให้เขาไป เพื่อแลกกับอิสรภาพก็ได้”
“เหอะ! พ่อฉันคงยอมหรอกงกขนาดนั้น”
“งั้นก็แต่งเถอะเอาน่าฉันรู้ว่าแกทำได้ กำหนดมันก็แค่สามปีไม่ใช่เหรอถ้าอยู่กันไม่ได้ อีกอย่างแต่งปีแรกก็ยังได้มาอยู่ที่หอพักของโรงเรียนเราอยู่ ก็เท่ากับเหลือแค่สองปีนิดๆ ที่ต้องอยู่ร่วมชายคากับเขา”
“แกนี่มันสุดจริงฐิสา คิดได้ละเอียดสมกับเป็นอัจฉริยะของโรงเรียนสตรีเรามากๆ”
“ชมใช่ป่ะ” ฐิสาถามเพื่อนอย่างไม่แน่ใจ
“เออดิ” นิลินตอบก่อนจะเดินไปขึ้นรถ และไม่ลืมโบกมือบ๊ายบายเพื่อน ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตอนนี้มันกลับหายไปในทันที นัยน์ตาสวยเหม่อมองออกไปนอกรถที่กำลังขับเคลื่อนตัวไปช้าๆ
ท่ามกลางความวุ่นวายของบรรดาผู้ปกครองที่มารับบุตรสาวด้วยตนเอง เธอเรียนในโรงเรียนประจำ และอยู่หอพักมาตั้งแต่มัธยมต้น เพราะถูกส่งมาที่นี่ต่างจากพี่สาวอีกคนที่ได้เรียนในสถานศึกษาแพงหูฉี่
ที่มันเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลกนักเพราะเธอมันก็แค่ลูกเมียน้อย เพราะพ่อดันเผลอไปมีอะไรกับแม่ที่เป็นเพียงเด็กฝึกงานในบริษัทจนตั้งท้อง สุดท้ายเขาก็ต้องรับทั้งเธอและแม่เข้ามาอยู่ในบ้านด้วย
ยังดีที่แม่ใหญ่ไม่ใช่คนใจร้าย จนทำร้ายเธอกับแม่ ทั้งยังปลูกบ้านให้อยู่ด้านหลังและมีคนคอยรับใช้ด้วย แต่ที่น่าเศร้าคือคนเป็นพ่อไม่เคยแม้แต่จะเรียกหาเลยสักครั้ง พอพี่สาวเธอหนีหายไปนี่แหละ ถึงได้ร้องขอกึ่งออกคำสั่งให้เธอแต่งงาน ไม่งั้นจะไม่รักษาแม่ของเธอที่ป่วยเป็นมะเร็งต่อ นั่นจึงทำให้นิลินจำใจต้องยอมรับเรื่องนี้
“สู้นะนิลิน เกิดมายังไงก็ต้องมีผัวอยู่แล้วหนีไม่พ้นหรอก” เธอคิดในใจก่อนจะขำออกมา ทำเอาคนขับรถถึงกับต้องเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคุณหนูคนเล็กจู่ๆ ก็หัวเราะ
“ขำอะไรครับคุณหนู”
“เปล่าค่ะ นิลแค่นึกถึงซีรี่ย์ที่พึ่งดูมาเมื่อวาน”
“ครับ” เขารับคำเท่านั้นเมื่อรู้ถึงที่มา ไม่นานรถแวนคันหรูก็จอดลงที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ เธอก้าวลงจากรถแต่ก็ไม่ได้ตรงขึ้นตึกนี้ เพราะมันไม่ใช่ที่ของเธอสักนิด
สามวันหลังจากนั้นก็ถึงวันที่ต้องทำพิธีแต่งงาน ซึ่งมันเรียบง่ายจนน่าตกใจ เพราะมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคิดเลย แขกที่มางานก็มีแต่ญาติและเพื่อนสนิทรวมกันแล้วไม่ถึงยี่สิบคน การจัดเลี้ยงเป็นไปอย่างเงียบเชียบ
“นิล! นี่มันงานแต่งจริงๆ ไหมแก ทำไมมันดูโล่งโจ้งแบบนี้ ฉันนึกว่ามาเดินป่าช้าซะอีก”
“นั่นสิ แทบจะไม่มีคนเลยนอกจากลุงป้าน้าอาแก” ซันนี่เพื่อนสาวลูกครึ่งพูดขึ้น
“ก็ดีแล้วไง จะได้ไม่มีใครรู้ว่าฉันแต่งงาน ดีซะอีกเวลาเลิกไปแล้วจะได้หาใหม่ง่ายๆ” นิลินเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ซึ่งมันไม่ได้เป็นแบบนั้นแม้แต่น้อย เพราะอันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะฝ่ายชายขอมาต่างหาก เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าต่อไปชีวิตวันข้างหน้าของเธอจะเป็นยังไง
“ดูเหมือนฝ่ายเจ้าบ่าวจะมาแล้วนะ” ฐิสาพูดขึ้นเมื่อมองออกมานอกหน้าต่างจากชั้นสอง ซึ่งวันนี้นิลินมีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพื่อให้สมฐานะของลูกสาวคนเล็กของเจ้าสัวทรงพล
“ทำไมมีแต่คนแต่งตัวด้วยชุดดำล่ะ น่ากลัวจัง”
“เขาก็ใส่สูทไหมแก ดูเท่ดีออกอย่างกะมาเฟียเลย” สองเพื่อนสนิทพูดขึ้น ทำเอานิลินเองก็อยากออกไปดูเหมือนกัน แต่ก็ต้องนั่งนิ่งสงวนท่าทีเพราะแม่ใหญ่ของบ้านเดินเข้ามาในห้องแล้วตอนนี้
“เจ้าบ่าวมาแล้ว ลงไปทำพิธีเถอะน้องนิล” ถึงจะเป็นลูกของเมียน้อย แต่ช่อผกาก็ไม่ได้เกลียดเด็กสาวตรงหน้าอย่างที่ทุกคนคิด เพราะเรื่องในตอนนั้นเธอป่วยหนักจนดูแลสามีไม่ได้ ยังดีที่แม่ของนิลินไม่ใช่คนทะเยอทะยาน จึงอยู่กันได้อย่างสงบสุข
“หนูสวยมากเลยนะวันนี้” เธอเอ่ยชมเด็กสาวซึ่งวันนี้รวบผมไว้ด้านหลัง พร้อมปิ่นสีทองมีสายระย้าลงมาสวยงาม แม้นิลินจะมีอายุแค่สิบเจ็ด แต่ก็มีส่วนสูงอยู่บ้าง ทำให้แต่งชุดไทยประยุกต์ได้งดงามเป็นอย่างมาก สีขาวไข่มุกขับผิวเธอได้อย่างน่ามอง ดูแปลกตาไปกว่าทุกวันมากจริงๆ เพราะปกติจะใส่แต่เสื้อยืดและกางเกงสบายๆ เท่านั้น นิลินมองตัวเองในกระจกก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ
“แกสวยจริงนั่นแหละนิล แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดจากเงินที่เป็นตัวแปร”
นิลินถูกพาลงมาจากด้านบนแต่ยังก้าวลงมาไม่ถึงขั้นสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ เสียงเย็นเฉียบฟังแล้วขนลุกก็ดังขึ้น
“บอกเจ้าสาวให้รีบหน่อยได้ไหม ผมมีประชุมที่ฮ่องกงต่อต้องรีบไป”
คิมหันต์ คีตะวระสิน พูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมามองคนตัวเล็กที่เดินเข้ามานั่งข้างกายแม้เพียงนิด นิลินเหลือบมองเจ้าบ่าวของตัวเองเพียงครู่ แม้จะเห็นถึงความหล่อเหลาบนเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายซึ่งน่าจะมีมากพอตัว แต่ถ้าพูดจาไม่ให้เกียรติกันแบบนี้ก็ไม่ไหว
“รีบขนาดนี้ทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวานคะ”
# หน้าก็ไม่มอง แถมยังปากดีใส่น้องอีก อย่างนี้แหละก็เฮียเขาไม่ชอบเด็กอะเนาะ
# ฝากเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ ไม่รู้ทำไมคนอ่านน้อยมากจนใจท้อ แต่ก็จะพยายามเขียนจนจบนะคะ