1 ต้องหนี
เสียงฝีเท้าที่กำลังดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งต้องเร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ แต่รองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่นั้นก็ทำให้เธอวิ่งได้ไม่ถนัด หญิงสาวก้มลงถอดรองเท้าขึ้นมาถือไว้แน่นเพราะถ้าจะทิ้งไปก็รู้สึกเสียดาย การวิ่งด้วยเท้าเปล่าถึงมันจะเจ็บแต่ก็สามารถวิ่งได้เร็วกว่าเดิม
อีกไม่กี่เมตรข้างหน้าเธอจะวิ่งไปถึงถนนใหญ่และถ้าวิ่งไปฝั่งตรงกันข้ามได้เธอก็น่าจะรอดจากพวกที่กำลังวิ่งตามหลัง
แต่เสียงที่ตามมานั้นก็ทำให้เธอขนลุกเพราะมันใกล้เข้ามามากอีกทั้งพวกมันยังมีกันหลายคน หญิงสาววิ่งอ้อมมุมตึกออกมาพอใกล้จะถึงถนนใหญ่ก็มีรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ ประตูรถยังเปิดทิ้งไว้เธอจึงรีบขึ้นไปหลบอยู่ทางด้านหลังในจังหวะที่ชายฉกรรจ์สามคนวิ่งโผล่มาจากมุมตึกพอดี
เธอชะโงกหน้าขึ้นมามองและเห็นว่าผู้ชายพวกนั้นวิ่งไปฝั่งตรงข้ามก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เธอเป็นใคร แล้วขึ้นมาอยู่บนรถฉันได้ยังไง” เสียงที่ฟังดูมีอำนาจทำให้หญิงสาวกลัวจับจิต เธอค่อยๆ หันหน้ามาอย่างช้าก่อนจะส่งยิ้มเมื่อเห็นว่าคนที่ถามนั้นมีใบหน้าหล่อราวกับเทพบุตร
“หนูขอโทษ”
“ฉันไม่ต้องการคำขอโทษ แต่ฉันอยากได้คำตอบ”
“หนูชื่อเม่ล่อน ทำงานที่กาสิโน”
“ทำงานที่กาสิโน แล้วทำไมถึงมาอยู่บนรถฉันหรือว่าเธอไปโกงเขามาพอเขาจับได้เลยวิ่งหนี”
“ไม่ใช่นะคะ หนูไม่ได้โกงใครเลย”
“ไม่โกงแล้วทำไมต้องมาหลบอยู่บนรถ บอกฉันมาตรงๆ ว่าเธอกำลังหนีอะไรมา”
“หนูจะบอกคุณก็ได้ แต่คุณพาหนูไปจากที่นี่ก่อนได้ไหมคะ พวกมันกลับมากันแล้ว” เธอมองไปทางด้านนอกรถแล้วเห็นผู้ชายพวกนั้นกำลังเดินตรงมา
“ถ้าฉันช่วยเธอฉันจะได้อะไร”
“อะไรก็ได้ หนูให้คุณได้ทุกอย่าง แค่อย่าให้พวกนั้นพาหนูกลับไปก็พอ”
“ถ้าเธอไม่ทำตามที่พูดฉันจะเป็นคนพาเธอมาส่งที่นี่เอง”
“หนูสัญญา” หญิงสาวยกนิ้วก้อยยื่นมาตรงหน้าเขา ชายหนุ่มลังเลเพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนแต่เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของอีกคนเขาก็ยื่นนิ้วของตัวเองมาเกี่ยวไว้
“ฉันจะเชื่อเธอสักครั้ง ไปนั่งดีๆ เดี๋ยวฉันจะพาออกไปจากที่นี่” พูดจบเขาก็พูดไปยังไมโครโฟนขนาดเล็กที่ใช้สื่อสารระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร
“ภูมิ ออกรถ”
“เราจะไปไหนกันครับ”
“ขับวนไปเรื่อยๆ ก่อนฉันมีเรื่องต้องจัดการ”
“ครับบอส”
พอรถเคลื่อนตัวออกหญิงสาวที่นั่งนิ่งก็ถอนหายใจและพิงกับเบาะนั่งอย่างอ่อนแรง เธอไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนที่แอบขึ้นรถมานั้นเป็นใครมาจากไหน เธอรู้แค่ว่าตอนนี้เขาเป็นผู้มีบุญคุณกับเธอมาก
“เอาล่ะ บอกมาได้แล้วว่าเธอกำลังหนีอะไรมา”
“เรื่องมันยาว”
“ถ้าไม่อยากเล่าฉันจะพากลับไปส่ง”
“หนูก็แค่บอกว่าเรื่องมันยาว ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไปมาเล่า คุณอาก็ทำใจร้อนไปได้”
“เดี๋ยวนะเธอเรียกฉันว่าคุณอา”
“ค่ะ ดูแล้วคุณก็คงอายุมากกว่าหนูหลายปี เรียกพี่ก็คงจะดูไม่ค่อยให้เกียรติเท่าไหร่ใช่ไหมคะ”
“เรียกฉันว่าออสติน ถ้าเรียกฉันว่าอาอีกฉันจะพาเธอกลับ”
“ก็ได้ค่ะคุณออสติน”
วรรษมนเล่าให้เขาฟังว่าเธอเป็นนักศึกษาและกำลังหางานทำในช่วงปิดเทอม แล้วพี่สาวเธอก็แนะนำให้มาทำงานที่กาสิโน เธอเพิ่งเริ่มงานได้แค่สามวัน วันนี้เธอก็แต่งตัวมาทำงานตามปกติ แต่แล้วคนคุมบ่อนก็เรียกเธอเข้าไปถามว่าสนใจรับงานบริการไหม เพราะมีแขกกระเป๋าหนักหลายคนที่สนใจจะนอนกับหนู พอหนูไม่ยอมพวกมันก็ขู่ว่าจะจับหนูไปขังและไม่ให้หนูกลับประเทศไทยอีกเลย พวกมันยึดพาสปอร์ตของหนูกับเพื่อนไว้”
“แต่เธอก็หนีออกมาได้นี่”
“พวกมันกำลังจะพาหนูไปส่งให้เสี่ยคนนั้นแต่ระหว่างทางมีนักพนันโวยวายแล้วขวางทางอยู่หนูก็เลยวิ่งหนีออกมา”
“ฉันจะเชื่อเธอได้ยังไ ถ้าเกิดเธอไปขโมยของเขามาหรือทำผิดกฎหมายมาฉันจะไม่ซวยไปด้วยเหรอ”
“คุณก็เห็นนี่ว่าหนูวิ่งมาตัวเปล่า นี่ก็มีแค่ชุดที่ใส่กับรองเท้าคุณจะค้นตัวหนูไหมล่ะ” วรรษมนรีบแสดงความบริสุทธิ์ใจจนลืมไปเลยว่าชุดที่ตนเองสวมนั้นมันทั้งสั้นและรัดรูปจนคนมองแอบกลืนน้ำลาย
“หนีออกมาได้แล้วคิดจะทำยังไงต่อ”
“คุณพาหนูไปแจ้งความได้ไหม”
“ได้สิ แต่เธอมีหลักฐานไหมล่ะ อีกอย่างคนที่นี่ก็พวกพ้องเยอะถ้าไปแจ้งตำรวจแล้วคิดเหรอว่าตำรวจจะไม่เป็นพวกเดียวกัน”
“แล้วหนูจะทำยังไง เพื่อนหนูก็ยังอยู่ที่นั่น แล้วพาสปอร์ตของหนูอีก คุณออสตินพอจะหาใครช่วยได้ไหม”
“ไอ้ช่วยมันก็ช่วยได้หรอกนะ แต่ฉันก็ไม่อยากเอาตัวเข้าไปยุ่ง พวกนั้นน่าจะมีอิทธิพลมากพอตัว”
“ถ้าคุณไม่ช่วย ก็ส่งหนูลงข้างหน้าเถอะค่ะ หนูจะลองเสี่ยงไปแจ้งตำรวจดู”
“ฉันช่วยก็ได้”
“ขอบคุณนะคะคุณออสติน นอกจะหน้าตาคุณจะหล่อมากๆ แล้วคุณยังเป็นคนดีอีกด้วย”
“ไหนลองบอกมาว่าจะให้ช่วยยังไงบ้าง”