ตอนที่ : 12 หนีเงื้อมมือมัจจุราช 2
คนของครองทัพขับหลบได้อย่างฉิวเฉียด จากนั้นก็ยิงสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อต่างฝ่ายต่างหลบจึงไม่สามารถหยุดรถคันข้างหน้าได้ ครองทัพจึงตัดสินใจเป็นคนลงมือเสียเอง เขาเปิดประทุนด้านหลังคารถออกแล้วโผล่ศีรษะขึ้นไปบนนั้น หรี่ตาลงข้างหนึ่ง เล็งเป้าหมายให้แม่นแล้วค่อยลั่นไก
เปรี้ยง! เสียงกระจกด้านหลังของรถแตกละเอียด เมื่อลูกกระสุนปืนวิ่งทะลุผ่านมันไปยังด้านหน้า เป็นผลให้กระจกหน้าแตกละเอียดไม่แตกต่างกัน เฟื่องฟ้าพยายามบังคับพวงมาลัยไม่ให้ส่ายไปมา แต่ว่าเมื่อกระสุนอีกนัดหนึ่งจากรถคันด้านหลังดังขึ้น
ปัง! กระสุนพุ่งตรงเข้าเจาะบริเวณล้อรถอย่างพอดิบพอดี เฟื่องฟ้าไม่สามารถบังคับให้รถวิ่งไปตามปกติบนท้องถนนได้
เอี๊ยด! หญิงสาวเหยียบเบรคจนตัวโก่ง ตัวรถถลาพุ่งลงไปกระแทกอยู่ที่เนินดินข้างถนน
ปัง! ปัง! ปัง!
ลูกน้องของครองทัพยิงสกัดไม่ให้คนในรถเปิดประตูออกมาได้ ครั้นทั้งหมดเดินไปถึงที่เกิดเหตุก็พบว่าทั้งสามคนยังนั่งนิ่งอยู่ภายในรถ ปืนกระบอกที่ยิงสกัดตลอดเวลา มาหยุดอยู่ตรงขมับของอรัณย์และเฟื่องฟ้า ครองทัพเป็นคนเปิดประตูเข้าไปดึงมณีศิลาที่เอามือปิดหู นั่งตัวสั่นอยู่ด้านหลังเบาะออกมา
"เอาแค่เบาะๆ ไม่ต้องถึงตาย" คำสั่งของเขา ปัง! ปัง! เป็นผลให้กระสุนปืนในมือของลูกน้องทั้งสองคนฝังลงที่หน้าขาของอรัณย์และต้นแขนของเฟื่องฟ้า
"ไม่!" มณีศิลาร้องขึ้นด้วยความตกใจ พยายามฉุดรั้งข้อมือจากคนที่กำลังลากตัวเองขึ้นจากข้างถนน เพื่อตรงไปยังรถสีทมิฬของเขา
"เข้าไป" ครองทัพผลักหญิงสาวให้เข้าไปด้านใน แล้วเขาก็ก้าวเข้าไปนั่งที่เบาะท้ายด้านข้างของมณีศิลา
เพียงแค่เห็นใบหน้าของเขาชัดเจนจากแสงสว่างภายในรถ มณีศิลาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เทพบุตรน้ำแข็งที่เธอเคยประทับใจเขา ตอนอยู่ในห้างสรรพสินค้าในวันที่ถูกรถชน เป็นคนคนเดียวกับผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเธอ คนที่เป็นดั่งพญามัจจุราชที่จะมาพรากวิญญาณของเธอไป แววตาแห่งความผิดหวัง เสียใจ ปรากฏขึ้น เมื่อรักแรกพบของเธอกลับกลายเป็นผู้มาดับลมหายใจของตัวเธอเอง
"เรียบร้อยแล้วครับ" คนของเขาทั้งสองรายงานเมื่อก้าวขึ้นมานั่งภายในรถ มณีศิลามองไปยังรถของอรัณย์และเฟื่องฟ้า คำว่าเรียบร้อยแล้วครับ คงหมายถึงการฆ่าสองคนนั่นเป็นแน่แท้ หันไปมองครองทัพด้วยสายตาเรืองโรจน์ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงต้องโหดเหี้ยมปานนี้
"ฆ่าพวกเขาทำไม ยังไงพวกเขาก็สู้คุณไม่ได้อยู่ดี" ครองทัพหันหน้ามามองมณีศิลาด้วยสายตาเย็นชา กระตุกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างเหยียดหยัน แล้วหันหน้ากลับไปมองถนนเบื้องหน้าดังเดิม คล้ายหญิงสาวไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้
"นี่คุณ!" มณีศิลากำมือแน่นเมื่อเขาไม่เอ่ยโต้ตอบอะไรกลับมา ขณะที่รถมุ่งหน้าไปยังใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่ง แล้วจอดนิ่งสนิทอยู่ใต้สะพาน หญิงสาวถูกลากตัวออกมาจากรถอย่างทุลักทุเล
"พาฉันมาที่นี่ทำไม" มณีศิลาเดินร่นถอยหลังจนไปชิดขอบตลิ่ง ขณะที่ครองทัพยกกระบอกปืนขึ้นแล้วสวมที่เก็บเสียงเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ไม่ได้สะทกสะท้านต่อสิ่งที่ตนเองกำลังกระทำอยู่ในตอนนี้ เมื่อเครื่องมือสังหารพร้อม คนที่จะต้องฆ่าก็พร้อมอยู่ตรงหน้า เขาหยุดยืนนิ่งมองดูดวงหน้าตื่นตระหนกภายใต้แสงไฟริบหรี่ของบริเวณใต้สะพาน มองยังไงมณีศิลาก็สวยเสมอในสายตาของเขา ทั้งคู่มองสบสายตากันโดยที่ไม่มีใครคิดหลบใครก่อน มณีศิลาต้องยืดอกรับกับความตายที่เขากำลังมอบให้ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดและหวาดกลัวเพียงใด เธอก็จะไม่มีวันเอ่ยปากร้องขอเขาเด็ดขาด
"ก่อนที่คุณจะฆ่าฉัน ฉันขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม" แล้วคนที่นิ่งเงียบก็เอ่ยขอ คนที่เล็งกระบอกปืนมายังหน้าผากของตัวเอง
"อะไร?" ครองทัพเลิกคิ้วสูงถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"คุณคือคนที่ขับรถชนฉันในวันนั้นใช่ไหม" คำถามของมณีศิลาทำให้ครองทัพยกมุมปากขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะตอบให้หญิงสาวหายข้อสงสัย
"ใช่" คำตอบที่แม้ว่ารู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เพียงแค่มันออกมาจากปากของเขา หัวใจของมณีศิลาก็ทุกข์ร้าวเกินจะปรามไหว ดวงตาไหววิบด้วยความผิดหวังอย่างรุนแรง
"อีกอย่าง"
"ช่างเป็นคนใกล้ตายที่เรื่องมากเสียจริง" นับเป็นครั้งแรกที่เขายอมสนทนากับคนที่ตัวเองกำลังจะฆ่า ทั้งที่ปกติก็ฆ่าโดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวด้วยซ้ำไป
"คุณชื่ออะไร?" อย่างน้อยมณีศิลาก็อยากจะทำความรู้จักกับมัจจุราช ที่กำลังพรากชีวิตของเธอไปจากโลกใบนี้
"อยากรู้จักคนที่กำลังจะสังหารตัวเองด้วยเหรอมณีศิลา ก้องราชันย์ จะบอกให้ก่อนตายก็ได้ ฉันชื่อ ครองทัพ สีมันต์ ทีนี้ก็ตายตาหลับได้แล้วสินะ" ปลายกระบอกปืนยังจดจ่ออยู่ตรงหน้าผากของมณีศิลา เพียงแค่เขาเหนี่ยวไกออกไปทุกอย่างก็จบสิ้นลง
เสียงรถที่แล่นฉิวไปมาอยู่ด้านบนส่งเสียงดังอึกทึกอยู่ตลอดเวลา หากย้อนมองไปด้านล่างของสะพาน ใต้เงามืดริมตลิ่งแม่น้ำ จะพบเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนตัวสั่นภายใต้เงามัจจุราชที่กำลังหยิบยื่นความตายมาให้ ชายหนุ่มผู้มีหน้าที่ดับลมหายใจของเธอกำลังก้าวเท้าเข้าหาอย่างเนิบช้า กระบอกปืนชนิดเก็บเสียงในมือถูกเคลื่อนเข้าจ่อแนบสนิทยังหน้าผากมนของอีกคน ดวงตาทั้งสองคู่ประสานมองสบกัน หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ และเธอเมื่อหนีไม่พ้นก็ต้องยอมรับชะตากรรม ไร้ซึ่งเสียงร้องขอชีวิต
ปัง!
กระสุนวิ่งทะลุหน้าท้องของหญิงสาวไป เลือดไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย มือหนาของอีกคนยื่นออกไปดึงข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ ควรจะดีใจที่มีใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วย แต่...เมื่อมันเป็นมือของมัจจุราชที่หยิบยื่นความตายให้กับตัวเอง น้ำตาจึงไหลออกมาอาบสองแก้ม มือที่ดึงเธอเอาไว้กับสายตาที่เหี้ยมเกรียมไม่หลงเหลือความเป็นคน และเมื่อเขาปล่อยมือออก ร่างของหญิงสาวจึงร่วงลิ่วสู่ผืนน้ำเบื้องล่างในทันที
ตูม!!!!
"กลับ" เขาสั่งคนของตัวเองที่ยืนอยู่บริเวณเดียวกัน ทั้งสองรีบเดินตามหลังคนสั่งกลับไปยังรถสีดำ ที่ติดฟิล์มกรองแสงทึบทั้งคันอย่างรวดเร็ว
"รายงานพี่โคด้วยว่างานเสร็จแล้ว" เขาสั่งต่อเมื่อเก็บกระบอกปืนเข้าที่เรียบร้อยแล้ว
"ครับ" เมื่อรับคำหนึ่งในนั้นก็รีบโทรไปรายงานประมุขใหญ่ของบ้านในทันที
ณ บ้านหลังใหญ่ ใครบางคนกำลังยืนนิ่งหลังจากกดวางสายโทรศัพท์ งานที่ให้น้องชายของตัวเองไปทำประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เหล้าในมือถูกยกขึ้นกระดกลงคอในรวดเดียว หันไปมองดูที่ชั้นสองของบ้าน แล้วกระตุกมุมปากหยันขึ้นอย่างสะใจ
เพล้ง! เสียงแก้วที่ลอยไปกระทบพื้นเซรามิกดังขึ้น จากนั้นเจ้าตัวก็รีบตรงดิ่งขึ้นไปยังชั้นสองด้วยแรงแห่งโทสะ
ผลัวะ! เสียงเปิดประตูดังขึ้น ทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงนอนรีบลุกขึ้นยืน แล้วถอยหลังหนีไปอย่างรวดเร็ว
"ฉันให้คนส่งคุณหนูสุดที่รักของเธอไปนรกแล้ว" ครองภพเจตนาใช้วาจาทำร้ายจิตใจของลารี อีกคนถึงกับหน้าซีดเผือดในถ้อยคำอันร้ายกาจของเขา
"อะไรนะ...คุณหนู ฆ่าคุณหนู...ไอ้คนเลว!" หญิงสาวตรงเข้าไปทุบกำปั้นตีเขาอย่างไม่ยั้ง น้ำหูน้ำตาไหลนองหน้า เมื่อได้รู้ว่าเจ้านายของตัวเองถูกฆ่าไปแล้ว อีกคนดูเหมือนจะรำคาญต่อแรงอันน้อยนิด เขาคว้าหมับเข้าที่เอวคอดแล้วโยนโครมไปบนเตียงนอน
"อุก..."
"คิดจะหยามน้ำหน้ากันโดยการส่งสาวใช้มาแทนเจ้านาย ผลลัพธ์ที่กล้ามากระตุกหนวดเสือมันก็ต้องออกมาแบบนี้" เขาย่างสามขุมเข้าไปหาหญิงสาวที่นอนคู้ด้วยความเจ็บอยู่บนเตียง
"คุณฆ่าคุณหนูทำไม เธอไม่รู้เรื่องด้วยเลย" ปากคอของคนพูดสั่นระริกไปด้วยความเสียใจ มองดูเขาก้าวขึ้นมาบนเตียงด้วยความหวาดกลัว
"เธอเองก็เหมือนกัน ฉันก็ต้องฆ่า" แววตาอำมหิตไม่ได้บอกว่าเขาล้อเล่น หญิงสาวรีบร่นกระถดกายถอยหนีไปด้านบนของที่นอนด้วยความรู้สึกกลัวจับใจ
"ฉันไม่กลัว" ทว่าปากกลับบอกในสิ่งที่ตรงกันข้าม ทั้งที่ข้างในใจเต้นกระตุกไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกขาดสะบั้นลงเมื่อเขาบอกว่ามณีศิลาตาย จากหญิงสาวที่คอยสงบปากสงบคำได้เปลี่ยนเป็นสาดวาจาด่าทอเขาอย่างไม่เกรงกลัวแทน
"ก็ดี กล้าหลอกขึ้นเตียงกับฉันแทนคุณหนูของตัวเอง แค่คิดเธอก็ตายได้แล้ว"
"คุณมันโง่เอง" เมื่อคุณหนูตายไปแล้ว มีหรือเธอจะรอด เขาไม่ได้โง่สักนิดแถมจับผิดได้ตั้งแต่แรก แต่ลารีก็อยากจะตอกย้ำให้เขาเจ็บปวดดูบ้าง หลังจากที่เธอเป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว
เผียะ ! ใบหน้างามสะบัดถึงกับหันกลับ เลือดไหลออกมากบปากในทันที ลารีค่อยๆ เบือนหน้ากลับมามองเขาอย่างเคียดแค้น
"หึ คนเลว ลงมือได้แม้คนไม่มีทางสู้" เจ็บแสนสาหัสน้ำตาก็ไหลนองหลากออกมา แต่ปากก็ยังบริภาษเขาอยู่อย่างต่อเนื่อง
เผียะ! ยิ่งเธอด่า ฝ่ามือซาตานก็ยิ่งประทับลงมาหา
"ด่าอีกสิ อีการิอ่านจะมาแทนที่หงส์ พอถูกจับได้ก็เปลี่ยนสีแทบไม่ทัน ฉันฆ่าเธอแน่ไม่ต้องกลัวไปหรอก แต่ขอใช้ให้คุ้มค่าเสียก่อน" พูดจบก็กระโจนเข้าใส่คนที่นั่งอยู่บนเตียงนอน
แคว่ก! แคว่ก! แคว่ก! เสียงเสื้อผ้าถูกฉีกออกจนขาดวิ่นติดมือ เผยให้เห็นทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้น แม้จะเคยผ่านการร่วมรักมาถึงสามครั้ง แต่เขาก็รู้สึกเลือดลมสูบฉีดทุกครั้งที่ได้เห็น...
เงาบางที่ยืนนิ่งอยู่บนชั้นสองของบ้าน บนใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเอ่อนอง ลารีหันหลังมองย้อนกลับเข้าไปยังคนที่อยู่บนเตียงนอน ถูกเขาข่มขืน ข่มเหง กักกัน กระทำเยี่ยงสัตว์มาสามวันเต็ม เพียงเพื่อรอฟังข่าว แต่ว่าตอนนี้คุณหนูไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงพร้อมกัน ก่อนร่างบางจะลอยละลิ่วลงสู่เบื้องล่าง
ตุบ! แล้วแน่นิ่งไป
คนบนเตียงลืมตาโพลงขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียง เขากระตุกผ้าห่มออกจากกายแล้วรีบตรงไปยังระเบียงของห้อง ภาพของหญิงสาวที่เขาเพิ่งนอนกอดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานอนจมกองเลือดอยู่ด้านล่าง กรามหนาบดเข้าหากัน หนังตากระตุกขึ้นด้วยความโกรธ...
จัดการสั่งคนของตัวเองให้นำร่างของหญิงสาวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ส่วนตัวเขาเดินตรงกลับเข้าไปในห้องนอนด้วยสีหน้านิ่งเฉย คนอย่างเขาเกลียดที่สุดก็คือ มีคนมาตายต่อหน้าโดยที่เขาไม่อนุญาต