ตอนที่ : 11 หนีเงื้อมมือมัจจุราช
6
หนีเงื้อมมือมัจจุราช
หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่นาน มณีศิลาก็ถูกนำตัวไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านพักแห่งหนึ่งแถบปริมณฑล บ้านสวนที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาบรรยากาศช่างสงบร่มเย็น มณีศิลาซึมซับเอาอากาศแสนสดชื่นเหล่านี้เข้าสู่ภายใน ชีวิตของเธอช่างเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ พร้อมที่จะขาดรอนลงไปทุกวินาที เพียงแค่มัจจุราชร้ายคนนั้นเอื้อมมือมายื้อดึงมัน
"คุณพ่อคะหนูต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน" มณีศิลาถามบิดาด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ท่านไม่ยอมให้กลับเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของก้องราชันย์เช่นเดิม
"มณี พ่อคงให้คำตอบลูกไม่ได้ ที่นี่คือสถานที่ ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว มีเพียงแค่คนในครอบครัวของเราเท่านั้นที่จะรู้จักที่นี่" นายมหิธรอธิบายให้บุตรสาวฟัง
"หนูกลับไปอยู่ที่บ้านของเราไม่ได้เหรอคะคุณพ่อ" สีหน้าเศร้าสร้อยแกมวอนขอของมณีศิลาทำให้คนเป็นบิดาออกอาการหนักใจอยู่ไม่น้อย แต่ว่าด้วยเหตุผลที่มันมากเสียจนไม่อาจจะละเลยได้ ทำให้ท่านต้องยอมตัดใจในเรื่องนี้
"ไม่ได้หรอกลูก บ้านของเรามันไม่ปลอดภัยพอ อยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องมันจะเงียบนะมณี"
"จนกว่าเรื่องจะเงียบอย่างนั้นหรือคะ" มณีศิลาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มองไม่เห็นหนทางที่เรื่องนี้มันจะเงียบลงได้เลย
"มณีเข้าใจพ่อนะลูก" หัวอกของคนเป็นพ่อย่อมห่วงลูกก่อนสิ่งใด นายมหิธรได้เลือกในสิ่งที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับมณีศิลา
"หนูเข้าใจค่ะคุณพ่อ" มณีศิลาแสร้งส่งรอยยิ้มให้บิดาทั้งที่ภายในเกิดคำถามขึ้นมากมาย โดยเฉพาะกับมัจจุราชคนนั้น อยากจะถามเขาว่าเธอทำผิดอะไรร้ายแรงหนักหนาถึงได้ตามคร่าชีวิตกันเช่นนี้
"พ่อให้คนของเราคอยดูแลลูกอยู่ที่นี่ด้วยสองคน" เขาปรายหางตาไปยังชายหนุ่มกับหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ในชุดคนสวนคล้ายคนในท้องถิ่น แต่แท้ที่จริงแล้วก็คือบอดี้การ์ดของมณีศิลานั่นเอง
เมื่อบิดาเดินทางออกจากบ้านสวนไปแล้ว มณีศิลาหันไปมองบอดี้การ์ดที่อยู่ในคราบของเจ้าของบ้านหลังนี้ คนหนึ่งอยู่ในนามของพี่ชายส่วนอีกคนก็คือน้องสาว ทั้งที่ความจริงนั้นทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นเอง
"ผมชื่อ อรัณย์ นี่ก็เฟื่องฟ้า" อรัณย์แนะนำตัวเองและเฟื่องฟ้าแก่เจ้านายคนใหม่
"รบกวนพวกคุณด้วยนะคะ" มณีศิลาโค้งศีรษะลงให้เล็กน้อย ฝ่ายชายที่รูปร่างกำยำหน้าตาคมคายนั้นให้กะคร่าวๆ อายุน่าจะอยู่ที่สามสิบปี ส่วนหญิงสาวที่รูปร่างเพรียวสมส่วนหน้าตาก็หวานเรียบร้อย จนไม่น่าจะมาทำอาชีพนี้ได้ เห็นจะอายุไม่เกินยี่สิบห้า
"ต่อไปเรียกพวกเราว่าพี่รัณย์กับพี่ฟ้านะครับคนอื่นจะได้ไม่สงสัยเอา" อรัณย์เอ่ยบอกหญิงสาว
"ค่ะพี่รัณย์พี่ฟ้า" มณีศิลาทำตามอย่างว่าง่าย
"ยินดีที่ได้เป็นบอดี้การ์ดของคุณมณีนะคะ" เฟื่องฟ้ายิ้มหวานจนมณีศิลาต้องยิ้มตอบรับให้ เฟื่องฟ้าหน้าหวานมากจนน่าตกใจในอาชีพที่เธอทำ
"มีอะไรหรือเปล่าคะ" คนถูกมองเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ามณีศิลายังคงจ้องหน้าของตัวเองโดยไม่คิดจะเอ่ยคำพูดใดออกมา
"พี่ฟ้าหน้าหวานมากจนมณีนึกแปลกใจ"
"แปลกใจที่มาทำอาชีพนี้ใช่ไหมครับ" อรัณย์ดักได้ถูกทาง มณีศิลาไม่ใช่คนแรกที่ถามคำถามแบบนี้ ตั้งแต่เป็นคู่หูกับหญิงสาวมานานนับสองปี เขาก็ต้องเจอกับคำถามแบบเดียวกันนี้นับครั้งไม่ถ้วน
"ใช่ค่ะ"
"หน้าที่นี้ถึงได้เหมาะกับพี่ฟ้าไงคะคุณมณี เพราะว่ามันสามารถตบตาผู้คนได้" เฟื่องฟ้ายิ้มรับ ความจริงแล้วเธอก็ฝันอยากมีชีวิตเหมือนหญิงสาวทั่วไป แต่เมื่อหนทางมันเลือกเดินไม่ได้ เธอจึงต้องเข้ามาทำอาชีพนี้ด้วยความจำยอม
"เหมือนหนุ่มสาวชาวสวนเลยนะคะ" มณีศิลายิ้มเมื่อเห็นว่าทั้งคู่สวมชุดที่ชาวสวนแถวนี้เขาใส่กัน อรัณย์นั้นอยู่ในชุดม่อฮ่อมมีผ้าขาวผ้าคาดเอว ส่วนเฟื่องฟ้าก็อยู่ในชุดผ้าถุงลายขวางกับเสื้อคอกลมผ้าลูกไม้
"จะได้สมจริงไงค่ะ" เฟื่องฟ้าออกอาการเขินอายเล็กน้อย ภาพลักษณ์ภายนอกอาจจะดูเป็นอย่างที่มณีศิลาพูด แต่ภายใต้ผ้าถุงกลับมีสายรัดกระบอกปืนซ่อนอยู่
เมื่ออยู่เพียงลำพังภายในห้อง มณีศิลารีบเดินตรงไปยังกระจกที่แกะสลักลวดลายงดงาม จัดการถอดเสื้อยืดของตัวเองออกทางด้านบนของลำตัว เพื่อสำรวจดูรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่หัวไหล่ด้านขวาของตัวเอง รอยแผลเป็นก็ยังเด่นชัดอยู่หัวไหล่จากการเย็บสิบห้าเข็ม แรงกระแทกอย่างรุนแรงในครั้งนั้น ทำให้หัวไหล่ของเธอแตกปริเป็นรอยแผลขนาดใหญ่ แม้จะผ่านการเย็บที่ประณีตเพียงใด ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยเอาไว้ให้เห็นตำตา มณีศิลาลูบไล้ไปยังบาดแผลเบาๆ เขาเป็นใครกันนะถึงได้โหดเหี้ยมอำมหิตเพียงนั้น
ตกค่ำเมื่อมณีศิลาเข้าห้องหลับนอนไปแล้ว ผู้ที่มีหน้าที่คอยคุ้มกันความปลอดภัยก็เดินสำรวจรอบบริเวณบ้าน สถานที่แห่งนี้เป็นบ้านสวนขนาดกลาง มีต้นไม้ร่มรื่นเหมาะสำหรับพักฟื้นและหลบหนี ห่างออกไปอีกสองกิโลเมตรถึงจะพบกับบ้านของชาวสวนคนอื่น
"เราจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานไหมพี่รัณย์" เฟื่องฟ้าถามคนที่นั่งอยู่ด้านข้างบนแคร่ไม้ไผ่ตัวเดียวกัน ระหว่างนั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน
"ไม่รู้เหมือนกัน ทำไม? หรือว่าฟ้าเบื่อ" อรัณย์มองหน้าของคนถามด้วยสายตาชื่นชม เขาแอบหลงรักเฟื่องฟ้าตั้งแต่วันแรกที่พบกันเมื่อสองปีที่แล้ว และยิ่งได้ร่วมงานเป็นคู่หูกันด้วยแล้วก็ยิ่งรักมากขึ้นเป็นทวีคูณ
"เปล่าสักหน่อย ฟ้าก็แค่อยากจะรู้ว่าเราจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานหรือเปล่า มันไม่มีอะไรให้ทำเลย พี่รัณย์ดูสิมีแต่สวนกับความเงียบ"
"พี่เพิ่งรู้ว่าฟ้าติดแสงสีเสียงในเมืองกรุง" เขากระเซ้าด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อ
"ไม่ใช่...แต่ก็ใกล้เคียง" เฟื่องฟ้ายังคงชื่นชอบชีวิตของคนกรุง มากกว่าการที่จะมาเป็นหญิงสาวชาวสวนแบบนี้
"พี่ว่าคงไม่นานหรอก อีกหน่อยนายท่านคงหาวิธียุติเรื่องครั้งนี้ได้" อรัณย์ได้แต่หวังว่าเจ้านายของตัวเองคงจะมีวิธีจัดการกับเรื่องครั้งนี้ได้ แม้ว่าจะมองไม่ค่อยเห็นหนทางในวันข้างหน้า ว่ามันจะราบรื่นหรือเปล่า
"ให้มันจริงเถอะค่ะ ฟ้าว่าทางสีมันต์คงจะไม่ยอม กลัวแต่ว่าถ้าไม่ได้ชีวิตของคุณมณีไป ก็คงต้องเป็นชีวิตของคุณมโนแทน"
"หวังว่านายท่านจะจัดการได้" อรัณย์เงยหน้าขึ้นมองชั้นบนของตัวบ้าน มณีศิลาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่น่าสงสาร ต้องมารับเคราะห์กรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น
"แต่เราก็เล่นไม่ซื่อก่อน" พอเอ่ยถึงเรื่องสลับตัวกันของมณีศิลากับลารี เฟื่องฟ้าก็เกิดความรู้สึกว่าปัญหานี้มันคงจะบานปลายมากขึ้น ดวงตาหวานเชื่อมเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์ แล้วก็ผ่อนลมหายใจเพื่อระบายความรู้สึกหนักใจออกมา
"นั่นสิ นี่คือปัญหาใหญ่ว่าทางโน้นจะเอายังไงต่อไป"
ทั้งคู่พูดคุยเรื่องราวทั่วไปอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นห้องนอนด้านบนของตัวบ้าน ชีวิตของมณีศิลาอยู่ในกำมือของทั้งสอง การปกป้องคนสำคัญของเจ้านาย นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งสำหรับอรัณย์และเฟื่องฟ้า
บ้านไม้ช่างเงียบสงบในขณะที่ทุกคนนอนหลับสนิท มีเพียงแว่วเสียงลมที่พัดแผ่วเข้ามา ชายในเงามืดสามคนได้ย่างก้าวเข้ามาอย่างเงียบกริบ เมื่อได้รับข่าวจากสายที่เข้าไปแฝงตัวอยู่ในก้องราชันย์ ครองทัพก็รีบพาสมุนมือดีอีกสองคนมาตามจัดการกับมณีศิลา เพียงแค่เท้าของทั้งสามคนเหยียบย่ำขึ้นไปบนบันไดบ้าน อรัณย์และเฟื่องฟ้าก็ลืมตาตื่นขึ้น ด้วยรู้ถึงความผิดปกติในทันที เมื่อตัวบ้านเป็นไม้ทั้งหลัง ฉะนั้นใครจะขึ้นจะลงจึงสะเทือนให้รับรู้กันทั้งบ้าน ปืนพกที่วางอยู่บนหัวเตียงนอนถูกอรัณย์ดึงออกมาใช้งาน ส่วนเฟื่องฟ้านั้นก็รีบตรงไปยังห้องของมณีศิลา ปลุกหญิงสาวให้ตื่นเพื่อหลบภัยที่กำลังจะมาถึงอย่างเบาเสียงที่สุด
ชายสามคนที่เดินกวาดสายตาหาเป้าหมายไปทั่วทางเดิน พยายามย่ำเดินให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก่อนที่หนึ่งในนั้นจะผลักบานประตูห้องหนึ่งเข้าไป ปืนในมือของอรัณย์ที่แอบอยู่มุมหนึ่งของตัวบ้านก็ดังขึ้น
ปัง!
อาจเป็นเพราะว่าความมืด กระสุนปืนจึงวิ่งเฉียดเป้าหมายไปเพียงนิดเดียว ครองทัพเอื้อมมือไปดึงกระบอกปืนออกมาจากเอวหนา แล้วเล็งเป้าไปยังชายที่อยู่ด้านหลังของเสาต้นหนึ่ง
ปัง! ปัง! ปัง!
เขาส่งสัญญาณให้อีกสองคนอ้อมด้านหลัง ขณะที่ตัวเองเป็นคนยิงปืนเบี่ยงเบนความสนใจให้ อรัณย์เห็นว่าตัวเองท่าจะเสียเปรียบอยู่มากโข เขารีบวิ่งตรงไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ริมสุดของทางเดิน แล้วกระโดดลงจากหน้าต่างของห้อง เพื่อหลบออกทางด้านหลังไปให้ถึงรถที่เฟื่องฟ้าและมณีศิลารออยู่ โดยมีกระสุนของคนร้ายวิ่งตามหลังมาติดๆ
ปัง! ปัง! ปัง!
เมื่อกระโดดลงจากตัวบ้านได้สำเร็จ อรัณย์รีบวิ่งไปยังพุ่มไม้ซึ่งเป็นสถานที่ซ่อนรถในการหลบหนี จากนั้นเฟื่องฟ้าก็ขับออกไปด้วยความรวดเร็ว
"พี่รัณย์เป็นไงบ้างคะ" มณีศิลาถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรครับคุณมณี แต่น่าเจ็บใจทำไมพวกมันถึงสืบรู้ที่อยู่ของเราได้เร็วขนาดนี้" อรัณย์นึกข้องใจในข้อนี้
"พี่รัณย์! พวกมันตามมาแล้ว" เฟื่องฟ้าร้องบอกเมื่อมองผ่านกระจกหลัง เห็นรถคันสีดำของคนร้ายไล่ตามจี้มาติดๆ
"บ้าจริง! คุณมณีหลบลงนะครับ" อรัณย์ชักปืนออกมาแล้วกดปุ่มเปิดกระจกออก จากนั้นก็เล็งปืนไปยังรถคันที่อยู่ด้านหลัง
ปัง! ปัง!