บทนำ
บทนำ
รถยนต์โดยสารขับผ่านไร่ขนาดกว้างเข้ามาสู่บ้านหลังงาม ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขา ความเขียวชอุ่มยามเช้าสร้างความสดใสต้อนรับวัน แต่เพราะตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินโดยมีดวงจันทราขึ้นมาทำหน้าที่แทน จึงมองความสวยงามของธรรมชาติได้ไม่ชัดนัก
แสงไฟส่องสว่างตามรายทางก่อนจะจอดหน้าบ้านสามชั้นที่ทาสีขาวทั้งหลังตามความชอบของแม่เลี้ยงบงกช ญาณพัฒน์ซึ่งล่วงลับไปหลายปี สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้คนที่อยู่เป็นอย่างมาก
มือหนาหยิบธนบัตรในกระเป๋าสตางค์ ยื่นให้พนักงานขับรถแล้วรีบถือกระเป๋าขนาดพอดีลงจากรถ
เขาไม่สนใจบรรยากาศรอบข้าง พุ่งสายตามองแม่บ้านที่อยู่รับใช้มานาน เป็นคนเก่าคนแก่ของไร่ที่ทุกคนให้ความเคารพไม่ต่างจากเจ้านายอีกคน
“คุณก้อง คุณก้องกลับมาแล้ว” หญิงร่างท้วมที่เดินเป็นหนูติดจั่นเพื่อรอรับเขากลับบ้านรีบเข้ามาหาพลางจับตามแขนหนาด้วยความคิดถึง
ก้องนเรนทร์ ญาณพัฒน์ลูกชายเพียงคนเดียวของพ่อเลี้ยงอนวัทธ์ ญาณพัฒน์ผู้ที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อวาน สร้างความเศร้าเสียใจให้แก่คนในไร่เป็นอย่างมาก
ร่างสูงเพิ่งกลับจากต่างประเทศเพราะไปเรียนปริญญาโทด้านการเกษตรเพื่อนำมาพัฒนาไร่ทวีสุข โดยไม่รู้ว่าอีกสองปีต่อมาบิดาจะจากไปไม่ทันให้กลับมาดูใจด้วยซ้ำ
“คุณพ่อล่ะครับ คุณพ่ออยู่ไหน” วางกระเป๋าลงบนพื้นแล้วกุมมือแม่บ้านที่เป็นเหมือนญาติเอาไว้แน่น ชะเง้อคอมองเข้าไปข้างในบ้านเห็นเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟ แต่ไม่มีแม่บ้านอยู่สักคน
หัวใจไหววูบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เขาไม่คิดว่าการเดินทางจะช้าเพราะเครื่องบินเกิดขัดข้องจนต้องเลื่อนเวลาออกไปหลายชั่วโมง ทั้งที่น่าจะมาถึงไทยเมื่อห้าชั่วโมงก่อน
แต่ก็ไม่ทัน…
“ตั้งสวดอภิธรรมที่วัดค่ะ คนทั้งบ้านแล้วก็คนงานไร่ไปรวมกันอยู่วัด เหลือแค่ป้าที่รอคุณก้องจะได้ไปพร้อมกัน คุณจะอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าก่อนไหมคะ ป้าจะได้รอ” กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ยามเห็นความรวดร้าวในแววตาคม สงสารชายหนุ่มจับหัวใจที่ไม่ทันได้ฟังคำสั่งเสียของบิดา
เขากลับบ้านเมื่อปีก่อนเห็นว่าท่านยังแข็งแรงและสบายดี ไม่คิดว่าจะจากไปเร็วเช่นนี้
ปล่อยเขาไว้คนเดียว…
ทุกคนในครอบครัวทิ้งไปหมดแล้ว
“ไม่ครับ ผมจัดการตัวเองตั้งแต่ลงจากเครื่องแล้ว เราไปวัดกันเลยดีกว่า...ผมอยากไปเคารพศพคุณพ่อ” ข้าวของทั้งหมดจะถูกจัดส่งกลับไทยทีหลัง เขาไหว้วานเพื่อนสนิทเป็นคนจัดการให้เพราะร้อนใจอยากกลับมาให้ทันดูใจบิดา
แต่มันก็ไม่ทัน เขาช่างเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องซะจริง
ป้านิ่มรีบจับจูงร่างสูงไปยังรถตู้ที่จอดคอยท่า จากนั้นจึงเล่าให้ฟังถึงอาการของพ่อเลี้ยงอนวัทธ์ที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดตลอดระยะเวลาสองปี
ท่านเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว…
ตอนที่รู้ตัวมันก็แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำได้เพียงประคองอาการจนสุดท้ายจากไปไม่มีวันกลับ
เพียงแค่ฟังจากปากของผู้อาวุโสก็ลำคอแห้งผาก ถึงกับยกมือกุมขยับพลางเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าเจียนจะไหล เขาร้องไห้มากพอแล้วระหว่างเดินทางกลับไทย
ความสูญเสียอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่คิดว่าจะเกิด
“ทำไมผมถึงไม่ทราบว่าคุณพ่อเป็นลูคีเมีย ไม่มีใครบอกผมเลยสักคน ปิดผมทำไม” รำพึงกับตัวเองด้วยความน้อยใจ ถ้าเขารู้ว่าท่านอาการหนักคงบินกลับมาดูแล
แต่คนเป็นพ่อทราบนิสัยบุตรชายดีว่าต้องทิ้งทุกอย่างแล้วกลับไทย จึงเลือกจะปิดเอาไว้ไม่ยอมบอก คิดจะรอเวลาให้ก้องนเรนทร์เรียนจบกลับมาบริหารงาน
ทว่ากลายเป็นพ่อเลี้ยงที่รอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว
“เป็นความต้องการของพ่อเลี้ยงค่ะ ท่านไม่อยากให้คุณก้องทราบแล้วเป็นกังวล คิดว่าจะยื้อจนคุณเรียนจบกลับมาแต่ก็ไม่ทัน...”
อยู่กับเจ้านายตลอดจึงคาดเดาความคิดของท่านได้ทุกอย่าง อธิบายให้ร่างสูงทราบแต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่หายโกรธ เรื่องสำคัญที่ควรรู้เป็นคนแรก กลับทราบเป็นคนสุดท้าย
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง เขาโทรหาท่านบ่อยน่าจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ แต่สนุกกับการเรียนจนหลงลืมครอบครัว
สุดท้ายก็ต้องอยู่คนเดียว…
“น่าจะบอกผม ป้านิ่มน่าจะโทรไปบอกผมจะได้มาทันดูใจคุณพ่อ” พูดออกไปอย่างไม่คิดเมื่อความรู้สึกเสียใจท่วมท้นจนเลือกโยนความผิดไปให้คนอื่น
หญิงสูงวัยถึงกับน้ำตาซึม นางรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อลูกไม่ได้สั่งลากัน
แทนที่ก้องนเรนทร์จะกลับมาด้วยรอยยิ้มพร้อมใบปริญญา แต่ต้องมาเสียน้ำตาตั้งแต่วันแรกที่ถึงไทย
“ป้าขอโทษค่ะป้าขอโทษ” พอได้ยินสั่นของคนที่นั่งข้างกันก็รีบคว้ามือป้านิ่มมากอบกุมเอาไว้ เริ่มรู้สึกผิดที่ใส่อารมณ์กับท่าน รีบเอ่ยปากอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการปลอบ
“ไม่เป็นไรครับ ผมปากไม่ดีเอง ป้านิ่มอย่าร้องไห้เลย” คนอายุมากกว่าสะอื้นไห้แล้วเช็ดน้ำตาตัวเอง ระหว่างทางก็พูดถึงอาการของพ่อเลี้ยงอนวัทธ์ให้ลูกชายเพียงคนเดียวของท่านฟัง แค่คิดว่าบิดาต้องเจอเรื่องหนักหนาโดยไม่มีตนอยู่เคียงข้างก็เจ็บปวดจนไม่อาจทนฟังต่อไปได้
พวกเขาเหลือกันแค่สองคนพ่อลูก คิดจะสร้างอาณาจักรของไร่ทวีสุขด้วยกันเพื่อให้แม่และน้องสาวที่อยู่บนสวรรค์ได้ดู
แต่ตอนนี้เหลือเขาแค่คนเดียวแล้ว…พ่อไปหาแม่กับน้องอย่างเห็นแก่ตัว
ปล่อยงานที่เหลือไว้ให้ลูกชายจัดการเพียงคนเดียว
มาถึงวัดที่จัดงานเห็นคนเดินขวักไขว่เต็มไปหมด มีทั้งคนงานในไร่ที่มาเคารพศพของพ่อเลี้ยง และคนสนิทของบิดาที่เพิ่งทราบข่าว บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มองเข้าไปในศาลาเห็นโลงศพตั้งโดยมีดอกไม้สีขาวประดับ
รูปใบหน้าของพ่อ…
ร่างสูงลงจากรถตู้แล้วเดินเข้ามาในงาน ก้าวขาแทบไม่ออกด้วยซ้ำยามจ้องภาพที่บิดายิ้มให้ตนเอง คำว่ามรณะที่อยู่ในรูปย้ำเตือนถึงการจากไปของบุพการีอันเป็นที่รัก
“คุณก้องมาแล้ว” คนงานในไร่ต่างมองเจ้านายเป็นตาเดียว
ก้องนเรนทร์เป็นที่รักของคนในไร่ทวีสุข หลังเรียนจบปริญญาตรีก็กลับมาช่วยงานในไร่อยู่หลายปี จึงขอบิดาไปเรียนต่อด้านการเกษตรที่ต่างประเทศเป็นการหาความรู้มาพัฒนาไร่
วันที่เขาต้องจากไปไกลทุกคนมาล่ำลาด้วยความอาวรณ์
วันนี้ก็ให้ความรู้สึกเดียวกันแทบไม่เปลี่ยน…
แต่ต่างกันตรงที่เขาไปต่างประเทศ แต่พ่อไปอีกโลกที่ไม่อาจพบกันได้
“เข้าไปรับแขกเถอะค่ะ วันนี้แขกน่าจะมาเยอะเพราะเป็นวันแรก” ป้านิ่มบอกเจ้านายที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่อีกฝ่ายยังแบเบาะ รักเหมือนลูกหลานไปแล้ว
มองร่างสูงสวมชุดสูทสีเข้ม แต่แววตากลับแห้งผากไร้ชีวิตชีวาก็นึกสงสาร เพิ่งลงจากเครื่องก็ต้องมาต้อนรับแขกไม่ทันได้พักผ่อน
เขาพยักหน้ารับคำแล้วเดินเข้าไปในศาลา ยกมือไหว้แขกเหรื่อที่รู้จักบิดาพลางพูดคุยกันสักพักค่อยเข้าไปเคารพศพของพ่อเลี้ยงอนวัทธ์
พยายามสุดความสามารถที่จะไม่ร้องไห้ ไหว้ท่านเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปักธูปลงบนกระถาง ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดคุยหรือทักทายกับชายหนุ่ม ปล่อยให้เขามีเวลาเป็นส่วนตัวเพื่อบอกลาบิดา
ท่าทางของร่างสูงเรียกสายตาที่นั่งอยู่นอกศาลาให้มองไม่สามารถละไปทางอื่น เธออยู่ในชุดเดรสสีดำเรียบร้อย ผมยาวเกล้าเป็นมวย ใบหน้าหวานแต่งแต้มเครื่องสำอางเพียงบางเบา
จดจ้องคนที่นั่งอยู่หน้าโลงศพซึ่งให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด เมื่อได้โอกาสจึงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปทักป้านิ่ม ไม่ปล่อยความสงสัยเอาไว้นาน
“คุณลิ...มีอะไรหรือเปล่าคะ” ป้านิ่มกำลังยุ่งกับการกำกับคนงานให้นำน้ำดื่มกับของว่างไปเสิร์ฟ พอเห็นร่างบางเข้ามาใกล้แล้วโน้มหน้าลงมากระซิบข้างหูก็ผงะ
“ผู้ชายคนนั้น...ใช่ลูกชายของคุณลุงหรือเปล่าคะ ท่านเคยเอารูปให้ลิดูคิดว่าน่าจะจำไม่ผิด” ไม่แปลกใจที่จะคุ้นหน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ
ลิลิต ปพนธรรม สาวน้อยที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรี สูญเสียคนในครอบครัวจนไร้ที่พึ่ง พ่อเลี้ยงอนวัทธ์จึงรับเธอมาดูแลตามคำสั่งเสียสุดท้ายของคุณเอมอร
หญิงสาวคอยดูแลคุณลุงอัทธ์ตลอดสองเดือนก่อนท่านจะจากไป…
“ค่ะ นั่นคุณก้อง ลูกชายคนเดียวของพ่อเลี้ยงค่ะ” มองตามนิ้วที่ชี้ไปในศาลาก็พยักหน้าทันที ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่อมทุกข์เพราะการจากไปของบุพการี
เธอจ้องเขาอีกครั้งแล้วรู้สึกถึงความน่ากลัวบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวก้องนเรนทร์ ทั้งที่ในรูปเป็นเหมือนพี่ชายใจดี แต่ตัวจริงเหมือนมีออร่าความน่ากลัวห่อหุ้มกาย
หรือเป็นเธอที่คิดไปเองก็ไม่ทราบ บางทีเขาอาจจะใจดีก็ได้ ไม่อย่างนั้นคุณลุงคงไม่พูดถึงลูกชายเช้าเย็นเหมือนต้องการให้เธอจดจำหรอก
“น่าเสียดายนะคะพี่เขามาไม่ทันดูใจคุณลุง เขาใจดีใช่ไหมคะ...แต่ดูแววตาดุอย่างกับเสือ ลิไม่กล้าเข้าไปไหว้เลยค่ะ” รีบถามเพื่อความแน่ใจ อย่างไรตนก็ต้องอยู่ที่ไร่ทวีสุขอีกนาน
หรือตลอดไป…
อย่างน้อยก็ต้องผูกสัมพันธ์ไมตรีอันดีกับเจ้าของบ้านหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นอาจถูกไล่ไปอยู่ที่อื่นก็ได้
ซึ่งตอนนี้หล่อนไม่มีที่ไป
บ้านที่เคยอยู่แต่เด็กถูกขายทอดตลาดไปแล้ว จะซื้อคืนก็มีเงินไม่มากพอ
“เดี๋ยวป้าพาเข้าไปสวัสดีพี่เขานะ ยังไงก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน” คนสูงวัยยิ้มเอ็นดูหญิงสาว แววตาหวานแสดงความหวาดหวั่นยามจ้องไปยังคนที่กำลังต้อนรับแขก ยกมือไหว้แล้วอมยิ้มเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทจนเกินไป
ทั้งที่เขายิ้มแทบไม่ออก…
ป้านิ่มคว้ามือบางแล้วจูงกึ่งลากไปยังศาลาที่มีแขกทยอยเข้ามาจนแน่นขนัด ลิลิตไม่ทันตั้งตัวจึงเดินตามท่านโดยไม่อาจปฏิเสธได้ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเริ่มกลัวตนเองจะถูกดวงตาคมคู่นั้นประหัตประหาร
ก้องนเรนทร์ดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลย แตกต่างจากลูกชายที่คุณลุงเคยเล่าให้ฟัง
“คุณก้องคะ...” ป้านิ่มเรียกให้ชายหนุ่มหันมามอง เขาจึงเหลียวตามเสียงก่อนชะงักเมื่อเห็นว่าท่านไม่ได้มาคนเดียว ยังพาผู้หญิงอีกคนมาด้วย
แต่ไม่คุ้นหน้าเลย…
“ป้าจะแนะนำให้รู้จักกับคุณลิค่ะ”
“แนะนำ...เหรอครับ” คิ้วหนาเลิกขึ้นด้วยความสงสัย คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นหลานสาวของท่าน
เขาเหลือบมองหญิงสาวที่เดินมายืนตรงหน้าตนอย่างอาจหาญ โดยไม่รู้เลยว่าลิลิตต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหน หล่อนยอมรับว่ากลัวแววตาคมที่จ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“สวัสดีค่ะพี่ก้อง ลิเป็นหลานของคุณย่าเอมอร แต่ท่านเสียชีวิตเลยให้ลิมาอยู่กับลุงอัทธ์ค่ะ ตอนนี้ลิอยู่บ้านเดียวกับพี่ก้องค่ะ” อธิบายเรื่องทุกอย่างเอง พูดเร็วและรัวจนเกือบจับใจความไม่ทันแต่ก็เข้าใจหมดทุกอย่าง
คุยโทรศัพท์กับบิดาครั้งล่าสุดเหมือนได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของคนตรงหน้าเข้ามาในสาย ตอนแรกก็นึกสงสัยแต่ไม่ได้สนใจ วันนี้เพิ่งพบหน้ากัน…
“ครับ” ตอบเสียงเรียบโดยไม่คิดจะถามต่อหรือแสดงให้เห็นว่าอยากรู้จัก เล่นเอาลิลิตถึงกับหน้าเสียที่เขาตอบสั้นจนหล่อนต่อบทสนทนาไม่ได้
“คุณก้อง เสียใจด้วยนะคะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นด้านหลัง เขาจึงหันไปมองแล้วพบหญิงสาวหน้าตางดงามที่รู้จักกันมานาน เธอพูดเสียงเศร้ายามจ้องดวงตาคม เห็นถึงความเหนื่อยล้าในนั้นจนเผลอก้าวเข้าใกล้เขามากกว่าเดิม
“สวัสดีครับคุณวา เชิญทางนี้ครับ” ร่างสูงผายมือเชิญหล่อนให้ไปเคารพศพของบิดา ไม่ได้สนใจลิลิตอีกจนหญิงสาวยืนนิ่งค้างยามถูกเมินเหมือนไม่สำคัญ
ทำราวกับไม่อยากรู้จักเธอสักนิด
“ไปกันเถอะค่ะคุณลิ” จับจูงมือบางกลับไปที่ห้องพัก ระหว่างทางเธอก็หันมาพูดด้วยความกังวล
“พี่ก้องเหมือนจะใจดีนะคะ...แต่เย็นชายังไงไม่รู้ เหมือนน้ำแข็งเลย คำพูดเมื่อกี้ทำเอาลิเย็นยะเยือกไปถึงเท้า เขาจะต้อนรับลิไหมคะป้านิ่ม” เริ่มกลัวว่าการอยู่บ้านกับชายหนุ่มจะเป็นเรื่องยาก หรือบางทีเธอต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น
แต่ตนก็ไม่เหลือญาติที่อยู่ไทยแล้ว จะให้ไปอยู่ต่างประเทศกับญาติคนอื่นก็ไม่สนิท อย่างน้อยอยู่ที่นี่ยังมีป้านิ่มซึ่งหล่อนรู้สึกว่าท่านกลายเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว
“ต้องต้อนรับสิคะ คุณลิก็เหมือนลูกสาวอีกคนของพ่อเลี้ยง ยังไงคุณก้องก็มองคุณลิเป็นเหมือนน้องสาว แต่เพิ่งเจอกันเลยตั้งกำแพงไว้สูงหน่อย รู้จักกันไปเรื่อยๆ ก็สนิทสนมเอง อย่ากังวลไปเลยนะคะคนเก่งของป้า” ลูบหลังมือบางแล้วเข้ามาในห้องเตรียมของที่คนงานเริ่มเอาน้ำกับของว่างไปเสิร์ฟแขก
บางคนก็จัดเก้าอี้เพิ่มเพื่อต้อนรับคนที่ยังมาไม่ถึงงาน และดูท่าว่าจะทยอยมาเรื่อยๆ จนล้นศาลา
“ค่ะ เดี๋ยวลิช่วยเสิร์ฟน้ำนะคะ” อาสาอย่างแข็งขัน
“ไม่ต้องค่ะ คนงานมีเยอะแยะ คุณลิไปนั่งด้านหน้ากับคุณก้องดีกว่านะคะ”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ลิจะนั่งด้านหลังกับพี่ๆ ลิไปก่อนนะคะ” เพียงแค่คิดว่าต้องไปนั่งด้านหน้ากับคนหน้าตายก็รีบปฏิเสธแล้วหลบไปนั่งอยู่ข้างหลังทันที
เธอไม่ต้องการประกาศตัวว่าตนเป็นใครหรือทำเหมือนตัวเองเป็นคนในครอบครัวญาณพัฒน์
เพราะอย่างไรก็เป็นเพียงแค่คนอาศัยเท่านั้น…
กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ต้องอยู่ส่งแขกจนคนสุดท้ายกลับบ้าน ร่างสูงถอดสูทออกแล้วพาดไว้ที่แขนด้านซ้าย ก้าวขึ้นบันไดมายังชั้นสอง เหลือบมองห้องนอนใหญ่ที่เป็นของพ่อแม่ซึ่งปิดสนิท ไม่มีแสงไฟส่องลอดใต้ประตูเหมือนอย่างเคย
พอมองมายังห้องที่อยู่ข้างกันซึ่งเคยมืดสนิทกลับมีแสงสว่างลอดออกมา ไม่รอช้ารีบก้าวเข้าไปเคาะประตูเสียงดัง ใบหน้าคมตึงเครียดระหว่างรอคนข้างในมาเปิด
รู้ทันทีว่าใครเป็นคนใช้ห้องนี้ ทั้งที่เขาเคยบอกชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ใครใช้เด็ดขาด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่ก้อง” ลุกจากเตียงก็เดินมาเปิดประตู คิดว่าป้านิ่มแต่กลายเป็นคนที่ไม่คิดว่าจะมาเคาะห้องตนยามค่ำคืน เหลือเชื่อจนเผลอเรียกชื่อเขาเสียงเบา
“ใครให้เธอมาอยู่ห้องนี้” ข่มเสียงไม่ให้ดังจนกลายเป็นตะคอก แทบไม่อยากมองเข้าไปข้างในให้เจ็บปวด เลือกคาดคั้นจากคนตรงหน้าแทน
“คุณลุงค่ะ คุณลุงให้ลิอยู่ห้องนี้...ทำไมเหรอคะ” ตอบตามความจริง เล่นเอาร่างสูงไม่อาจพูดอะไรได้อีก นอกจากตัดสินใจเด็ดขาดจึงได้บอกลิลิต ซึ่งมันคือคำสั่งให้ทำตามโดยหล่อนไม่ยินยอม
“พรุ่งนี้ฉันจะให้คนมาขนของเธอไปอยู่ห้องรับแขก”
“ทำไมคะ ทำไมต้องให้ลิไปอยู่ห้องอื่นด้วย ลิอยู่ห้องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าไร่ทวีสุข อีกอย่างคุณลุงก็เป็นคนเอ่ยปากให้ลิอยู่เอง ลิไม่ย้ายค่ะ” ยืนกรานเสียงหนักแน่น
เมื่อคุณอนวัทธ์อนุญาตแล้วก็หมายถึงห้องนี้เป็นของเธอ แล้วเหตุใดต้องให้ย้ายไปห้องนอนของแขกด้วย
“ตอนนี้ฉันคือเจ้าของบ้าน บอกให้ย้าย...ก็ต้องย้าย” จ้องคนตัวเล็กกว่าพลางก้าวเข้าหาหล่อนเหมือนกำลังข่มขวัญ สร้างความขัดแย้งในใจให้แก่ลิลิตเป็นอย่างมากจนต้องเม้มปากแน่น
พอเขามาถึงทุกอย่างก็ดูเลวร้ายไปหมด
“บ้าอำนาจ” พูดใส่หน้าก้องนเรนทร์อย่างไม่เกรงกลัว จนใบหน้าคมแดงก่ำด้วยความโกรธ พอจะสั่งสอนก็ถูกประตูบานหนาปิดใส่หน้าอย่างแรง
ปัง!
ผู้หญิงอะไรไม่มีมารยาท พ่อเขาไปอุปการะมาได้ยังไง…
สงสัยต้องช่วยสั่งสอนสักหน่อยแล้ว