บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 พระเมตตา

เมื่อรถของชายาสาวเคลื่อนออกไปแล้วฮาน่าจึงหันมาพูดกับสามี

“พระชายาองค์นี้สวยนะท่านพี่”

“ใช่ ทรงมีน้ำพระทัยมาก เซร่าลูกเราโชคดีที่ได้รับใช้พระนาง” โยฮาตอบโดยที่สายตายังมองตามหลังขบวนเสด็จไป ฮาน่าชำเลืองมองค้อนสามี เธอรู้ดีว่าสามีรักลูกสาวคนนี้มากและยังคิดถึงแม่ของนางอยู่ตลอดเวลา ฮาน่าจึงเกลียดเซร่ามากและทุ่มเทความรักทั้งหมดให้กับฟาติมาลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ

“ท่านพี่...ข้าว่าจะฝากฟาติมาเข้าวังบ้าง ท่านพี่เห็นว่าอย่างไร” ฮาน่าเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง

“ฟาติมายังเล็กอยู่ แล้วถ้าส่งนางเข้าไปในวังแล้วใครจะอยู่ดูแลเจ้า” โยฮาหันมามองหน้าภรรยา และคำตอบของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายค้อนให้เขาวงใหญ่ทีเดียว

“ก็เอาตัวเซร่ากลับมาดูแลเราซิคะไม่เห็นจะอยาก” ฮาน่าเหยียดมุมปากออก

“คิดโง่ๆ” โยฮานิ่วหน้าใส่อย่างไม่พอใจและนั่นก็เหมือนกับมีดที่กรีดลงตรงหัวใจของฮาน่า

“ท่านพี่ด่าข้าหรือ...ใช่ซิฟาติมามันไม่ใช่ลูกรักของท่านนี่” เธอพูดกระแทกเสียงใส่แล้วก็เดินสะบัดหน้ากลับเข้าข้างในบ้านอย่างโมโห โยฮามองตามหลังภรรยาไปพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในความเอาแต่ใจของภรรยาคนนี้

พระตำหนักหลวง วังหลวงมาราคัต

เมื่อมาถึงทางขึ้นตำหนักศิริรัตน์ก็สวนเข้ากับเจ้าชายจอร์แดนจึงได้หยุดทักทายกันตามประสาคนที่รู้จักกัน เซร่าแอบมองเจ้าชายจอร์แดนอยู่ทางด้านหลังราชิด เธอไม่กล้าที่จะมองอีกฝ่ายอย่างตรงๆ

“พระชายาเสด็จไปไหนมาเหรอ” เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลน้อยๆ

“ไปตลาดมาเพคะ ไปเดินเที่ยวเผื่อจะได้หายคิดถึงบ้านบ้างเพคะ” ศิริรัตน์ตอบพร้อมกับคลี่ยิ้มส่งให้ราชนิกุลหนุ่ม

“แล้วหายคิดถึงหรือยัง” ทรงรับสั่งถามต่อแล้วเบนสายพระเนตรมาที่พระมารดาเลี้ยงของพระองค์

“ค่อยยังชั่วเพคะ แล้วเจ้าชายจะเสด็จไหนเพคะ” ศิริรัตน์ถามย้อนกลับไป

“ไปเดินเที่ยวผ่อนคลายสมองที่ทะเลสาบมาน่ะ” เจ้าชายจอร์แดนตอบกลับไปแล้วพลันสายพระเนตรก็ไปสะดุดเข้ากับร่างบางของนางกำนัลสาวรุ่นที่ยืนหลบอยู่ทางด้านหลังขององครักษ์ราชิด พระขนงดกดำขมวดมุ่นเมื่ออีกฝ่ายทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนกับแอบมองพระองค์อยู่ จึงเสด็จเข้าไปแล้วรับสั่งขึ้นด้วยสุรเสียงดุๆ

“เจ้าแอบมองข้าทำไม?”

“ปะ...เปล่าเพคะ หม่อมฉันมองว่าเมื่อไรจะรับสั่งกันจบเสียทีเพคะ หม่อมฉันเมื่อยแล้วเพคะ” เซร่าสะดุ้งเฮือกก่อนจะทูลตอบเจ้าชายหนุ่ม เพราะข้าวของที่เธอถือมานั้นมันพะรุงพะรังเต็มที่แล้ว

“เป็นนางกำนัลรับใช้ไม่มีสิทธิ์บ่น จำเอาไว้!” ทรงเน้นเสียงลอดไรพระทนต์อย่างเบาๆ ใส่เซร่าก่อนจะหรี่ดวงเนตรคมลงมองนางกำนัลสาวพร้อมกับแย้มพระโอษฐ์ขึ้นอย่างเยาะๆ

“เจ้าก็เดินไปก่อนซิ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าชายจอร์แดนสักครู่หนึ่ง” ศิริรัตน์อมยิ้ม

“เพคะ” เซร่าย่อตัวลง แล้วลอบมองค้อนให้เจ้าชายหนุ่ม ก่อนจะเดินแขนโก่งกลับขึ้นตำหนักไปพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำอย่างเบาๆ

เซร่ากำลังจัดข้าวของที่เจ้านายสาวซื้อมาเข้าที่ให้เรียบร้อย ศิริรัตน์ก็เดินเข้ามาพอดี สาวไทยนั่งมองนางกำนัลสาวพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วก็พานนึกไปถึงน้องสาวของเธอ มีนาเป็นคนเรียบร้อยสุขุม ผิดกับเซร่าที่ร่าเริงสดใส ขี้เล่น อยู่กับเซร่าแล้วเธอรู้สึกหายเหงาไปได้มากทีเดียว

“เซร่าเจ้ามีคนรักหรือยัง” จู่ๆ ศิริรัตน์ก็เอ่ยถามขึ้นพร้อมกับเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาว

“ยังเพคะ” เซร่าเอียงคอมองอย่างสงสัยเพราะจู่ๆ พระนางก็ถามขึ้นมาดื้อๆ

“ไม่ต้องทำท่าแปลกใจแบบนั้นหรอก ข้าเห็นที่นี่สาวๆ มักแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อย ข้าก็เลยถามเจ้าดูเผื่อเจ้ามีคนรักแล้ว ถ้าเกิดเจ้าแต่งงานไปแล้วข้าก็ไม่มีนางกำนัลที่พูดได้ทั้งวันอย่างเจ้าอีก ข้าคงเหงาน่าดู” สายตาของศิริรัตน์ดูเศร้าลง เซร่าคลานมาจับที่เข่าของนายสาวแล้วคลี่ยิ้มให้

“ไม่หรอกเพคะ หม่อมฉันจะอยู่รับใช้พระชายาไปจนตายเพคะ”

“ไม่ได้หรอก ต่อไปเจ้าก็ต้องมีครอบครัวจะมาจมปรักอยู่กับข้าไม่ได้หรอก” เจ้านายสาวส่ายหน้ายิ้มๆ

“ใครเขาจะมาสนใจหม่อมฉันเพคะ มีแต่คนบอกว่าหม่อมฉันยังกับม้าดีดกะโหลกใครเขาจะมารัก” เซร่าพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ศิริรัตน์จึงเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมองสบสายตากับตนเอง

“เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าเจ้าน่ารักมากแค่ไหน ถ้าข้ามีน้องชายหรือพี่ชายคงจะให้ชอบเจ้าแน่ๆ” ศิริรัตน์พูดยิ้มๆ เซร่าก้มหน้าลงยิ้มอย่างเอียงอาย

“ไม่คุยกับพระชายาแล้ว หม่อมฉันไปเตรียมผสมน้ำให้พระชายาสรงดีกว่า” นางกำนัลสาวรีบพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ โดยมีสายตาเอ็นดูของศิริรัตน์มองตามไป

หลังจากเจ้านายสาวพักนอนกลางวันเซร่าก็เดินลงมายืนแอบมองเจ้าชายจอร์แดนวาดรูปอยู่ในสวน เธอชอบการวาดรูป และใฝ่ฝันที่จะเป็นจิตรกรชื่อดัง อยากเดินทางเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อวาดรูปสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นบ้านเกิดของมารดาของเธอ

“เซร่า! เซร่า! เจ้าอยู่ที่ไหน? เซร่า!”

เสียงจูดาตะโกนร้องเรียกหลานสาวออกมาจากในห้องครัว เซร่ารีบหมุนตัวย่องออกมาแล้ววิ่งอ้อมไปทางด้านหลังตำหนักเพื่อไปยืนคอยป้าของเธอที่หน้าห้องของตนเองเพราะถ้าผู้เป็นป้าเห็นว่าเธอไปยุ่มย่ามแถวที่เจ้าชายจอร์แดนประทับอยู่ละก็ได้โดนดุแน่ๆ

“ข้าอยู่นี่ป้าจูดา” เซร่าพยายามหายใจให้เป็นปรกติ

“เจ้ามาอยู่นี่เอง เจ้าเข้าไปช่วยงานในครัวด้วยตอนนี้คนของเราขาดเพราะเราต้องรีบทำอาหารขึ้นโต๊ะเสวย” จูดาเดินเข้ามาหาหลานสาวพร้อมกับสั่งงานทันที

“ทำไมละคะป้า ทุกวันก็มีคนช่วยตั้งมากมายอยู่แล้ว” เซร่าขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ก็วันนี้องค์สุลต่านจะเลี้ยงส่งเจ้าชายจอร์แดนกลับไปเรียนต่อนะซิ เจ้าอย่าถามมากเรื่องนักเลยรีบๆไปเถอะ” จูดาเท้าเอวมองหน้าหลานสาวอย่างรำคาญก่อนจะเดินนำหน้าไป เซร่าจึงเดินหน้ามุ่ยตามผู้เป็นป้าไปพร้อมกับนึกข่อนคอดราชนิกุลหนุ่มในใจ ‘จะกลับก็ต้องลำบากคนอื่นอีก’

รุ่งเช้าเจ้าชายจอร์แดนก็ออกเดินทางแต่เช้า เซร่ายืนแอบมองอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวมองจนรถยนต์พระที่นั่งแล่นไปจนลับสายตา เธอยกมือขึ้นกุมที่หัวเข่าซึ่งยังเป็นรอยช้ำเขียว

เมื่อ 4 วันก่อนเธอหนีป้าจูดาของเธอออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกและเกือบเข้ามาไม่ทันเวลา เธอจึงรีบวิ่งลัดเลาะสวนเข้าไปที่ตัวตำหนัก เธอไม่ทันระวังจึงวิ่งเข้าไปชนกับโต๊ะที่ตั้งเครื่องวาดรูปของเจ้าชายจอร์แดนเข้า เจ้าชายโกรธเธอมากถึงกับคาดโทษเธอเอาไว้ แต่ทุกอย่างก็เงียบไปจนกระทั่งเจ้าชายเสด็จกลับเมืองนอก

“เฮ้อ...นึกว่าจะโดนเล่นงานเสียแล้ว โล่งอกไปที” เซร่าถอนใจออกมาอย่างแรง แล้วหมุนตัวเดินกลับขึ้นตำหนักพระชายาศิริรัตน์ไปด้วยความสบายใจ

ศิริรัตน์นั่งมองรูปถ่ายของตนเองกับพระสวามีอยู่ในห้องด้วยใบหน้าที่นิ้มแย้ม เธอไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาสามัญชนแต่ได้มาแต่งงานกับองค์สุลต่านแห่งมาราคัต น้ำตาของเธอเอ่อคลอเบ้าตาด้วยความปลื้มปีติ

เซร่าหยุดชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินเข้ามานิดหนึ่งเมื่อเห็นเจ้านายสาวนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของนายหญิงของตนเอง

“พระชายาเป็นอะไรไปหรือเพคะ? ทรงร้องไห้ทำไมเพคะ?” นางกำนัลสาวเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของนายสาวเอาไว้

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่ปลื้มใจนะที่ตัวเองมีบุญวาสนาได้มาเป็นถึงพระชายาขององค์สุลต่าน” ศิริรัตน์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะยกมาลูบผมของเซร่าอย่างอ่อนโยนแล้วพูดต่อ “เจ้าเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสหรือเปล่า”

“เชื่อสิเพคะ ก็ดูอย่างพระชายาซิเพคะอยู่ตั้งไกลแต่ก็ได้มาอภิเษกกับองค์สุลต่านจนได้” เซร่าคลี่ยิ้มกว้าง

“เจ้ามันช่างเจรจาเสียจริงๆ เข้าใจพูด เจ้าจบชั้นไหนเหรอ” สาวไทยเลิกคิ้วขึ้นสูง

“เกรด 12 เพคะ พ่อบอกว่าเรียนแค่นี้ก็พอแล้ว เดี๋ยวก็แต่งงานไปอยู่กับสามีเป็นแม้บ้านแม่เรือน” เซร่าตอบยิ้มๆ

“แล้วเจ้าอยากเรียนต่อหรือเปล่า” ศิริรัตน์ถามต่อ เซร่าถอนหายใจแล้วก็พยักหน้ารับ

“อยากซิเพคะ หม่อมฉันอยากเรียนจนจบปริญญาเลยด้วยซ้ำเพคะ แต่พ่อคงไม่ยอมแล้วพ่อก็ไม่มีเงินส่งด้วยเพคะ” นางกำนัลสาวทำสีหน้าเศร้า ศิริรัตน์จึงจับคางมนให้เงยขึ้น

“ข้าจะส่งเจ้าเรียนเอง เป็นผู้หญิงก็ต้องมีความรู้ใส่ตัวเองให้มากจะได้รู้ทันคนอื่นเขา”

“จริงหรือเพคะ จะให้หม่อมฉันเรียนจริงๆนะเพคะ อย่าโกหกนะเพคะ” เซร่าถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้ยินเจ้านายสาวพูดแบบนั้น รอยยิ้มเบิกบานคลี่ออกก่อนจะขยับเข้าไปใกล้นายสาวด้วยความดีใจ แต่แล้วก็ต้องหุบลงอย่างเศร้าๆเมื่อนึกไปถึงบิดา “แต่ว่าพ่อคง...”

“เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นข้าจัดการเอง เจ้าเตรียมตัวไว้ก็พอ” ศิริรัตน์เอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ รอยยิ้มของอีกฝ่ายจึงคลี่ออกอีกครั้ง

“แล้วใครจะมาอยู่รับใช้พระนางล่ะเพคะ เอาแบบนี้ดีกว่าตอนเช้าหม่อมฉันไปเรียนตอนเย็นก็มาถวายงานให้พระนางนะเพคะ” หญิงสาวเสนอแนะ

“แล้วเจ้าจะไม่เหนื่อยหรือ” พระชายาสาวเลิกคิ้วถามด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยล้ามากเกินไป

“ไม่เพคะ ไม่เหนื่อยเพคะ” เซร่าก็ส่ายหน้าและโผเข้ากอดศิริรัตน์อย่างดีใจและซาบซึ้งในน้ำพระทัยของเจ้านายสาว ศิริรัตน์อมยิ้มพร้อมกับใช้มือลูบหัวนางกำนัลสาวอย่างเอ็นดู

และหนึ่งเดือนต่อมาเซร่าก็ได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งด้วยการอุปการะขององค์ชายาศิริรัตน์ เซร่าเลือกเรียนในคณะศิลปะศาสตร์สาขาจิตรกรรม หญิงสาวเป็นเด็กหัวไว เรียนรู้ได้เร็ว เธอเลือกเรียนภาษาอังกฤษและภาษาไทยเสริมในเวลาเลิกเรียนเพราะเธอต้องการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ของประเทศไทยให้มากที่สุด เผื่อว่าจะได้มีโอกาสไปตามหามารดาที่เมืองไทย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel