บทที่ 1
ฉันชื่อแมรี่ค่ะ...เป็นชื่อที่ออกจะธรรมดาอยู่มากและดูห่างไกลจากฐานะความเป็นอยู่จริงๆมากด้วย...ชื่อแมรี่นี่คนธรรมดาสามัญที่ไหนๆเขาก็ใช้กันทั่วโลก ในอังกฤษอาจจะเรียกว่า แมรี่ หรือ อีโบนี่...กลายเป็นมาริแอสในภาษาสเปนและในสำเนียงที่คล้ายคลึงกันอีกตั้งหลายภาษา
แต่นามสกุล ที่ฉันใช้ต่อจากชื่อแมรี่นี่สิคะที่เก่าแก่ สูงเกียรติและออกจากเป็นผู้มีสกุลอยู่มาก แต่ถึงกระนั้น ฉันก็มักจะมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ฉันไม่น่าจะใช้นามสกุลอย่างนี้เลย มันทำให้รู้สึกคล้ายๆกับว่า ในร่างเดียวกันของฉันนี้ มีบุคคลอยู่สองคน และแต่ละคนก็พิศวงสงสัย ในความเป็นอยู่หรือสถานะของตัวเองอย่างยิ่ง
แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอย่างที่ว่านี้อยู่ตลอดเวลาดอกนะคะ ยามเมื่อถึงระยะต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อต้นไม้เริ่มผลิใบสีเขียวอ่อนนวลของมันขึ้นมาประดับพื้นโลก...เมื่อความร้อนแห่งเดือนสิงหาคม ได้แผ่กระจายลงบนพื้นโลกด้วยย่างเข้าฤดูร้อน เมื่อน้ำค้างได้หยาดลงมาแตะแต้มพื้นผิวของทุ่งหญ้าและดอกไม้ วาระนั้นที่ฉันได้สำนึกถึงความเป็นคนที่สมบูรณ์...แต่ทว่าในช่วงฤดูหนาว ยามที่สายลมแห่งความแห้งแล้งได้พัดกระจายไปทั่วทั้งประเทศอังกฤษนั้น...ยามที่ค่ำคืน คือความมืด ไร้ทั้งแสงจันทร์และดวงดาว ยามนั้นที่ฉันจะรู้สึกเหมือนมีผีตัวน้อยๆสิงอยู่ในร่าง
ปีแล้วปีเล่า ที่ฉันเผ้าแต่ครุ่งคำนึง ถึงชีวิตที่อยู่ภายใต้หลังคาบ้านหลังนี้ มีอยู่หลายครั้งหลายคราที่ฉันรู้สึกใจหาย เมื่อรำลึกนึกถึงสิ่งที่ฉันได้สูญเสียไป ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญชีวิตอย่างทุกข์ทรมานนั้นแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ...และมีผลทำให้ฉันต้องมาอยู่ในทุกวันนี้ แต่ก็เป็นช่วงชีวิตที่ฉันไม่อาจจะลืมเลือนได้เลย แม้จะพยายามคิดถึงแต่ส่วนที่ดี คิดถึงวันเวลา แห่งความหวานชื่นของความรัก คิดถึงวันเวลาที่เราเคยยินยอมพร้อมใจที่จะศิโรราบให้กับความรักนั้น แต่มันก็เป็นช่วงของชีวิตที่ยังยอกอยู่ในหัวใจตราบจนถึงวันนี้
ฉันรู้ดีว่า คืนวันแห่งความฝันร้ายนั้น เป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่จะขจัดให้สูญหายไปจากความทรงจำได้ง่ายๆ และยามใดที่ค่ำคืนเช่นนั้นมาถึง ยามที่สายลมแรงพัดกระหน่ำจนหน้าต่างสั่นสะเทือน ยามที่ท้องฟ้ามืดหม่นและเต็มไปด้วยความหนาวเย็น ยามนั้นฉันจะซุกตัวเข้าหาความอบอุ่นจากแสงไฟ เพิ่มดวงเทียนให้มากขึ้น เชื้อเชิญเพื่อนฝูงมานั่งล้อมวงคุยกัน เพื่อสร้างบรรยากาศให้อบอุ่นขึ้น และที่นอกเหนือไปกว่านั้นก็คือ ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะต้องยึดความรักในครอบครัวเป็นที่พึ่งมากขึ้น เพื่อที่ว่าฉันจะได้ตื่นจากฝันร้ายนั้นเสียที
และบัดนี้ ในค่ำคืนนี้ ฉันได้ตัดสินใจแล้วที่จะเผชิญหน้ากับความทรงจำที่เลวร้ายนั้นอย่างกล้าหาญเสียที ฉันต้องการที่จะเหลียวกลับไปดูความหลังครั้งนั้น ด้วยดวงตาที่กระจ่างแจ่มใส และขจัดเจ้าผีร้าย ที่เหยียบไหล่ฉันอยู่ตลอดเวลาให้ออกไปให้พ้นตัว
ออกมาสิ...ฉันร้องท้าทายมัน...มาสำแดงความชั่วร้ายของแกให้ถึงที่สุด เชิญยื่นหน้าอันขาวซีด ดวงตาที่เย็นชานั้นออกมาหาฉัน...แต่ขอเวลาให้ฉันได้ดูแกบ้างนะ...เอาละ พยายามให้ฉันศิโรราบกราบกราน เพื่อจะได้กลายเป็นผีอย่างแกได้จริงๆก็แล้วกัน
ที่ฉันตั้งใจจะเลือกเอาคืนนี้ เป็นคืนแห่งการเผชิญหน้ากันระหว่างฉันกับมันนั้น ก็เพราะว่าคืนวันนี้ มิได้หมายเพียงการสิ้นสุดของปี เพื่อจะเริ่มต้นปีใหม่เท่านั้น แต่มันยังหมายถึงการสิ้นสุดของศตวรรษหนึ่ง เพื่อที่จะเริ่มต้นศตวรรษใหม่อีกด้วย...ฉันจ้องมองนาฬิกาที่กำลังเดินติ๊กต๊อกอยู่...ในใจก็นึกพิสวงสงสัยว่า ศตวรรษใหม่ที่จะมาถึงนี้ จะนำอะไรใหม่ๆมาสู่ชีวิตของเราบ้างหนอ แต่นั่นแหละ ก่อนที่ฉันจะมองไปข้างหน้า ก็ควรที่จะได้แลไปข้างหลังเสียก่อน...
และด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ฉันได้ตกลงใจที่จะขังตัวเองไว้เพียงลำพังในห้อง แสงไฟที่อบอุ่นจากเตาผิง กระจายเข้ามาถึงในห้องหัวใจของฉัน และขณะที่นั่งอยู่แต่เพียงลำพังเช่นนี้ ฉันก็อดที่จะครุ่นคำนึงอยู่ไม่ได้ว่า เหตุการณ์ทั้งหลาย อันเป็นต้นเหตุแห่งความฝันอันเลวร้ายนั้น ฉันเองก็มีส่วนร่วมในการสร้างความผิดนั้นขึ้นมาด้วย...ถ้าเพียงแต่ในบางจุดของชีวิตช่วงนั้น ฉันจะได้ตัดสินใจที่ผิดแผกแตกต่างไปกว่าที่ได้ทำลงไปแล้ว ชีวิตก็คงจะต้องแปรผันไปอีกในรูปแบบหนึ่ง...แต่ใครเล่าที่จะรู้ว่า สิ่งที่ตนได้กระทำลงไปนั้น เป็นความถูกหรือความผิด จนกว่าจะถึงวันแห่งการตัดสินพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า...ชีวิตมนุษย์นั้น คือผลผลิตแห่งชีวิตนิรันดร์ของพระองค์...พระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์แห่งโชคชะตาขึ้น และกำหนดวันที่มนุษย์จะต้องกลับเข้าสู่ชีวิตเดิมของตนเองไว้อีกด้วย...
ดังที่ฉันได้บอกแล้วว่า ฉันชื่อ แมรี่ สจ๊วต ฟอเรสเตอร์ ฉันเป็นสาวที่ใครๆหลายคนชมว่าสวยมาก แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะรู้ว่า หน้าตาที่สะสวยนั้น แท้ที่จริงแล้ว มันมิได้เป็นของฉันเพียงคนเดียว แต่ทว่ายังมีเจ้าของร่วมอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง...และก็มิใช่เพราะหน้าตาที่สวยสดงดงามนี้ดอกหรือ ที่ทำให้ชีวิตของตัวเองแทบจะไม่รอดมาแล้ว...ถ้ามันจะเป็นตราแห่งความผิดบาป...ฉันก็อยากจะเรียกมันว่า บาปบริสุทธิ์จริงๆ...
ชีวิตในวัยเด็กของฉันนั้น ช่างเป็นช่วงชีวิตที่มีแต่ความสุขสนุกสนานจนเหลือจะพรรณนา น้อยคนนักที่จะได้พานพบความรื่นรมย์แห่งชีวิตได้ทัดเทียมฉัน แม้จะมิได้ดำรงอยู่ในระเบียบอันงดงาม เฉกเช่นสาวน้อยลูกผู้ดีมีสกุลอื่นๆก็ตาม
ชีวิตของฉัน ถูกฟูมฟักเลี้ยงดูมาด้วยน้ำมือและน้ำใจของบุคคลสองคน...พ่อที่รักยิ่ง กับ โนเบิ้ล ฮาร์โรว...ถ้าจะมีผู้หญิงร่วมอยู่บ้าง สำหรับการที่จะเลี้ยงฉันมาตั้งแต่วันเกิดฉัน ก็เห็นจะเป็นแม่บ้านชื่อ มิสซิส แพลททิ ซึ่งเป็นผู้จัดการดูแลเกี่ยวกับเรื่องบ้านช่องทั้งหมด เป็นแม่ครัวที่ฝีมือยอดเยี่ยมเป็นคนรับใช้ซึ่งเดินเข้าเดินออกบริการเราอยู่ทั้งปี มิสซิสแพลททิผู้นี้ หลังจากที่แม่ของฉันเสียชีวิตลง ก็รับภาระทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวฉัน ตั้งแต่อาบน้ำ ป้อนข้าว อบรมกิริยามารยาทให้ฉัน แต่...น่าแปลกนัก...ที่ดูเหมือนแกจะไม่มีความสัมพันธ์ ความรักใคร่ใยดีกับชีวิตของฉันแต่อย่างใด...บางที...ถ้าแกมีความเป็นแม่มากกว่านี้ ฉันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้...สำหรับในส่วนที่เกี่ยวกับพ่อนั้น มิสซิสแพลททิ จะปรนนิบัติรับใช้ท่าน เพียงเท่าที่ท่านต้องการ และอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดมา
สถานที่เกิด และชีวิตในช่วง 18 ปีแรกของฉันนั้น ฉันได้รวมไว้กับชีวิตในวัยเยาว์ของตนเองด้วย...เราอยู่ในฟาร์มที่ออกจะโดดเดี่ยว ห่างไกลจากผู้คนมาก และเป็นที่ดินมรดกของพ่อเป็นที่เกิด ที่ทำมาหากินตลาดอายุของพ่อทั้งก่อนหน้าและหลังจากที่ท่านได้พบและแต่งงานกับแม่แล้ว
ชีวิตของพ่อกับแม่นั้น เท่าที่ฉันรู้ ท่านทั้งสองมีฐานะที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน แทบจะไม่มีอะไรคล้ายคลึงกันเลยด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้ฉันรู้ได้ แม้จะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่หลงเหลืออยู่เลยก็ตาม เนื่องจาก แม่ตายตั้งแต่ฉันอายุยังไม่เต็ม 2 ขวบเลยด้วยซ้ำ ด้วยการให้กำเนิดน้องชาย ซึ่งมีอายุต่อมาได้อีกเพียงเดือนเดียวก็ตายลงอีก ดังนั้น พ่อจึงเหลืออยู่แต่เพียงฉันเท่านั้นที่พอจะเป็นเพื่อนบำบัดความโศกเศร้าอาวรณ์ และยังความอบอุ่นให้แก่ชีวิตของท่านได้
พ่อไม่เคยปิดบังเรื่องแม่ไว้เป็นความลับ พอฉันเริ่มจำความได้ พ่อก็เล่าเรื่องแม่ให้ฟัง จนฉันรู้สึกเสมือนว่า ฉันได้รู้จักท่านดีพอๆกับพ่อ...สาวงามในดวงใจของพ่อผู้นี้ชื่อ แมรี่ สจ๊วต เพนเดิ้ล ซึ่งฉันก็ได้รับชื่อนี้ตามท่าน โดยที่ฉันมาทราบในตอนหลังว่า แม่มีเชื้อสายของพระราชวงศ์แห่งสก๊อตแลนด์ด้วย...