ตอนที่ 4 ข้าหลวงคนใหม่
.
..
...
....
หนุ่ม ๆ ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วลงมารวมตัวกันที่ชั้นล่าง ช่วงเช้าอย่างนี้บรรดาข้าราชบริพารต่างก็เดินขวักไขว่ เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงานในตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ในตำหนักต่าง ๆ
พระราชวังเคอร์เซกราแห่งนี้มีผังเมืองเป็นรูปวงกลม ตรงกลางสร้างเป็นสวนขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยตำหนักทั้ง 6 ซึ่งเป็นที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ ส่วนตำหนักใหญ่สุดซึ่งอยู่ตรงกลาง เป็นที่ประทับขององค์ราชาและราชินี
“แล้วไอ้หนุ่มคนไทยมันไปไหนล่ะ” ราทีฟยืนเอามือขัดหลังในท่าทีภูมิฐาน เอ่ยปากถามเมื่อไม่เห็นมารีญายืนอยู่ในแถวด้วย
“มาแล้วครับ” เพื่อนร่วมห้องอย่างราชิดกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ทว่าเจ้าตัวรีบวิ่งแจ้นเข้ามายืนต่อท้ายแถวเสียก่อน
“วันแรกก็สายซะแล้ว ฉันจะหวังอะไรจากนายได้ไหมมาร์ติน” เสียงดุจากชายสูงวัยดังขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า
“ผมขอโทษครับจะไม่ให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีก”
“เอาล่ะวันแรกฉันจะให้โอกาส แต่วันหลังนายต้องรักษาเวลาด้วยเข้าใจไหม”
“ขอบคุณครับคุณราทีฟ” เจ้าตัวเผลอยกมือไหว้ปรก ๆ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจ ที่มาช้าเพราะต้องตรวจเช็กความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายไม่ให้มีอะไรผิดพลาด เนื่องจากวันนี้จะต้องเข้าไปทำงานในตำหนักแล้ว
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เดินตามฉันมาห้ามแตกแถวเด็ดขาดเข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ” ทุกคนตอบรับพร้อมกันเต็มเสียง
ข้าหลวงที่เข้ามาทำงานใหม่จะต้องอยู่ในการดูแลของราทีฟ ซึ่งเป็นข้าหลวงใหญ่ของราชสำนัก คอยควบคุมความประพฤติจนกว่าจะเข้าที่เข้าทาง
ราทีฟเดินนำหน้าคนทั้งสี่ไปยังตำหนักที่ขาดกำลังพล ระหว่างทางบรรดาข้าหลวงชั้นผู้น้อยต่างโค้งคำนับทักทายอย่างมีสัมมาคารวะ
มารีญาเดินตามหลังเพื่อนทั้งสามอย่างเงียบ ๆ แต่ทว่าดวงตาคู่สวยกลับอยู่ไม่สุข กลอกไปมาดูความอลังการของตำหนักต่าง ๆ เธอไม่เคยเห็นอะไรยิ่งใหญ่อย่างนี้มาก่อน สถาปัตยกรรมแบบอาหรับร่วมสมัยมีความงดงามเกินคำบรรยาย โดมที่สร้างมาจากทองคำนั่นบ่งบอกถึงความมั่งคั่งของกษัตริย์ได้เป็นอย่างดี
เดินมาถึงหน้าตำหนักหนึ่งราทีฟก็หยุดขบวนแล้วหันกลับมามองคนทั้งสี่ ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อสองในสี่ให้มายืนตรงหน้า
“อัสนาลกับคาซีออกมายืนตรงหน้า”
สองหนุ่มเดินมาตามคำสั่ง ก่อนที่ข้าหลวงใหญ่จะสำรวจมองตั้งแต่หัวจรวดเท้าอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อเช็กความเรียบร้อยก่อนส่งเข้าไปทำงานในตำหนัก
“นายสองคนถูกเลือกไปทำงานที่ตำหนักเจ้าชายเอลซาราฟ”
“ครับ”
ในขณะนั้นก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมาจากตำหนัก เพื่อมารับคนทั้งสองเข้าไปข้างใน ราทีฟพูดคุยกับเขาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพาสองคนที่เหลือเดินต่อไปยังอีกตำหนัก ระยะห่างระหว่างตำหนักเกือบหนึ่งกิโลเมตร นั่นทำให้ต้องเดินลัดเลาะสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ที่มีคนสวนช่วยกันดูแลรดน้ำ พรวนดินอย่างขยันขันแข็ง
“คุณราทีฟเมื่อไหร่จะถึงสักที นี่ก็เดินมานานแล้วนะครับ”
“นายต่างด้าวคนนี้มีปัญหาเยอะเสียจริง ตาบอดหรือไงถึงไม่เห็นว่าตอนนี้มาถึงแล้ว” ราทีฟหันกลับมาตวาดแหว
มารีญาได้แต่ยิ้มแหย ๆ อย่างสำนึกผิด เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับตำหนักขนาดใหญ่กว่าเมื่อครู่เสียอีก เพราะนี่คือตำหนักของเจ้าชายอัสซามาล อัล เอเดน มกุฎราชกุมารแห่งอัลดาฮุสนั่นเอง ชายหนุ่มผู้ที่มีอำนาจรองจากผู้เป็นบิดา ประชาชนต่างก็รักและศรัทธาในพระองค์เป็นอย่างยิ่ง
“โห!! ทำไมถึงได้ใหญ่โตกว่าตำหนักที่แล้วอีกครับ” มารีญาเอ่ยถาม ตาก็จ้องมองความใหญ่โตของตำหนักหินอ่อน ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับตำหนักใหญ่ขององค์ราชา
“เพราะนี่คือตำหนักขององค์รัชทายาทแห่งอัลดาฮุสยังไงล่ะ”
“แล้วพวกผมจะได้ทำงานในตำแหน่งอะไรครับคุณราทีฟ” ราชิดเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เข้าไปเดี๋ยวก็รู้เองล่ะ แล้วถ้าฉันไม่ถามก็ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ”
ภายในตำหนักถูกตกแต่งอย่างหรูหราสมพระเกียรติ มีบรรดาผู้รับใช้จำนวนมากคอยดูแลทำความสะอาด ความใหญ่โตของตำหนักทำให้เสียงฝีเท้าดังก้องกังวาน แม้จะพยายามระวังไม่ให้เกิดเสียงแล้วก็ตามที
“ฉันพาข้าหลวงคนใหม่มาเข้าเฝ้าเจ้าชาย” มาถึงหน้าห้องทรงงานของเจ้าชาย ราทีฟก็บอกกล่าวองครักษ์ที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าห้องตามมารยาท
“เชิญด้านในเลยครับคุณราทีฟ” องครักษ์หนุ่มที่สวมชุดทหารเต็มยศคนหนึ่งกล่าว พร้อมทั้งเปิดประตูให้
“ขอบใจมาก” เสียงของผู้มีอำนาจเหนือกว่าเอ่ยอย่างเป็นมิตร เดินนำหน้าคนทั้งสองเข้าไปด้านใน