ตอนที่ 1 กู้ม่านซี สตรีไร้มารยาท
เมืองจิ่งโจว
“หลีกไปเร็ว ๆ เข้า ม้าของคุณหนูสกุลกู้กำลังมา รีบ ๆ หลีกไป เร็ว เข้า!!”
เสียงตะโกนที่ดังมาแต่ไกลของชาวบ้านในละแวกตลาดกลางเมืองที่คึกคักพร้อมกับเสียงฝีเท้าของอาชาสีขาว บนนั้นมีสตรีในอาภรณ์สีขาวสลับแดงควบอาชาราวกับเร่งกวดคนร้ายวิ่งเข้ามายังเขตที่มีผู้คนสัญจรจนเกือบจะชนรถม้าที่วิ่งสวนมาแล้ว
“แย่แล้ว รถม้านั่น!!”
“คุณหนูระวัง!!”
“เสี่ยวปิงเจ้าไปทางซ้ายแล้วไปเจอกันข้างหน้านะ”
“กู้ม่านซี” พูดกับม้าคู่ใจเมื่อค่อย ๆ ปล่อยบังเหียนพร้อมกับกระโดดตีลังกาเหยียบไปที่หลังอานม้าของรถม้าคันใหญ่ที่วิ่งสวนมา เสี่ยวปิงวิ่งแฉลบออกไปในตรอกแคบข้างซ้ายซึ่งเป็นรูเล็ก ๆ ซึ่งเป็นรูที่ม้าวิ่งไปได้แต่คนที่ขี่วิ่งไปด้วยไม่ได้เพราะมันแคบมาก
“เฮ้ย ดูนั่น!!”
สตรีในอาภรณ์สีขาวกระโดดขึ้นหลังคารถม้าและตีลังกากลับหลังไปอีกครั้ง เมื่อถึงพื้นม้าขาวของนางก็วิ่งออกมาจากตรอกและรับเจ้าของได้ทันเวลา นางหันไปพร้อมกับยกมือคำนับให้กับเจ้าของรถม้าเพื่อเป็นการขออภัยที่นางต้องล่วงเกิน แต่ว่าเจ้าของที่นั่งอยู่ในรถม้ามิอาจได้ทันเห็นว่านางทำเช่นนั้น
“หยุดรถก่อน”
“ขอรับ!!”
คำสั่งของเจ้าของรถม้าทำให้ผู้คุมรถม้าหยุดรถม้าทันที คุณชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสีเขียวอ่อน ผมรวบมัดตึงด้วยกวานสีเงินมีปิ่นประดับทับทิมเสียบเอาไว้กลางศีรษะเดินถือพัดลงมาจากรถม้าและหันไปมอง
เขาทันได้เห็นเพียงใบหน้าข้าง ๆ ของสตรีที่กล้ากระโดดข้ามรถม้าของเขากลางถนนเช่นนี้ นางกำลังรอม้าสีขาวของนางที่วิ่งมารับก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าและขี่ออกไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“นางคือผู้ใดกัน”
“คุณชาย นางก็คือคุณหนูสกุลกู้ “กู้ม่านซี” ขอรับ คุณหนูคนนี้แม้ว่าบิดาจะเป็นถึงเสนาบดีกรมตุลาการแต่นางกลับเอาแต่เที่ยวเล่นสนุกไปวัน ๆ ก็อย่างที่ท่านเห็น นางไม่ค่อยมีมารยาทสักเท่าใดนักขอรับ นางมักจะทำแบบนี้เป็นประจำ ไม่ค่อยเรียบร้อยต่างกับคุณหนูบุตรสาวขุนนางคนอื่น ๆ ขอรับ เฮ้อ…เกือบไปแล้ว ไม่เป็นไร ๆ ไม่ต้องตกใจ"
คนขับรถม้าที่เขาเช่ามาบอกให้เขาฟังเกี่ยวกับสตรีที่พึ่งกล้ากระโดดข้ามรถม้าของเขาไปเมื่อครู่นี้ เมื่อบอกเสร็จก็หันไปตบที่ม้าเพื่อให้พวกมันหยุดตระหนกที่ถูกนางเหยียบหลังเพื่อกระโดดข้ามไปเมื่อครู่นี้
“กู้ม่านซี นางเป็นบุตรใต้เท้ากู้เหว่ย เสนาบดีกรมตุลาการและผู้ดูแลเรื่องการสอบขุนนางในจิ่งโจวครั้งนี้...ขอรับคุณชาย”
“ต้าจื่อ” องครักษ์คนสนิทของเขาเข้ามารายงาน เขาขี่ม้าตามคุณชายอยู่ข้างหลังและไปสอบถามคนอื่น ๆ ก่อนจะวิ่งมาหาคุณชายที่ยืนอยู่หน้ารถม้าในตอนนี้
ผู้คนเริ่มหันมามองหน้าคุณชายรูปงามนี้แล้ว เขาไม่ใช่คนที่นี่เมื่อลงมาย่อมได้รับความสนใจอีกทั้งการแต่งกายรูปร่างหน้าตาที่ดูมีฐานะนั่นทำให้ตกเป็นเป้าสายตาในทันที
“บุตรท่านเจ้ากรมตุลาการเมืองจิ่งโจวงั้นหรือ”
“ขอรับ นางเป็นสตรีที่…ไม่ค่อยเหมือนสตรีเท่าใดนักขอรับ”
“ช่างเป็นสตรีที่หยาบคายไร้มารยาทยิ่งนัก รีบไปกันเถอะ”
เขาเดินลงมาพร้อมปิ่นปักผมสีเงินประดับมุกที่นางทำตกเอาไว้ คงเป็นตอนที่นางกระโดดข้ามหลังคารถม้า ปิ่นเงินนี้จึงร่วงลงมาตรงหน้าเขา เมื่อเห็นว่าเป็นของสตรีเขาจึงได้สั่งจอดรถม้าเพื่อจะนำไปคืน แต่เมื่อรู้ว่าเป็นของผู้ใดเขาจึงได้เดินกลับขึ้นไปบนรถม้าดังเดิม
“ออกรถ”
“ขอรับ”
“เจียงอี้หาน” ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้เดินทางมายังเมืองจิ่งโจวเพื่อมาคอยตรวจสอบและสืบสวนคดีเกี่ยวกับการติดสินบนในการสอบขุนนาง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็จับคนร้ายที่เมืองลู่เหยาและเมืองเซียงโจวมาก่อนแล้ว
ครั้งนี้ถึงคราวเมืองจิ่งโจวที่จะมีการสอบคัดเลือกในอีกสองเดือนข้างหน้า แต่เขามาที่นี่ก่อนเพื่อต้องการสอดส่องในเมืองจิ่งโจวก่อนที่จะถึงเวลาสอบ
“กู้ม่านซี สตรีไร้มารยาท…หากว่าพ่อของเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในครั้งนี้ข้าจะไม่มีทางละเว้นพวกเจ้าไปเลยสักคน”
ปิ่นเงินในมือถูกหักโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขาโมโหมักจะลืมตัวเช่นนี้ตลอด เมื่อหันมามองปิ่นในมือจึงรีบคว้าผ้ามาห่อเอาไว้และหลับตาด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้ง เขาลืมนึกไปว่ากำลังถือสิ่งนี้อยู่ในมือตั้งแต่เดินลงไปจากรถเพื่อนำมันไปคืนเจ้าของที่ยังไม่รู้ตัวว่าทำมันตกลงมาในรถม้าของเขา
“ทีนี้ก็ยุ่งล่ะสิแล้วจะเอาปิ่นที่ไหนไปคืนนางกันเล่า”
เจียงอี้หานเป็นผู้ที่สามารถลากขุนนางโฉดที่คิดละโมบในการซื้อขายตำแหน่ง เล่นพวกพ้องและติดสินบนบัณฑิตและหลอกบัณฑิตโง่เขลาให้จ่ายเงินก้อนโตเพื่อพามาสอบชิงตำแหน่งขุนนาง เขาเป็นคนเงียบขรึมแต่โหดเหี้ยม ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นผู้ใดหากมีความผิดเขาก็สั่งลงโทษไม่ปรานี
“คนทำผิดไม่มีสิทธิ์ร้องขอความเห็นใจ คนทุจริตผิดแล้วก็ต้องชดใช้”
นี่คือคำที่เขามักจะพูดเสมอเมื่อผู้กระทำผิดถูกจับได้และขอความเมตตาจากเพชฌฆาตผู้นี้ ไม่เคยมีใครรอดมาจากความโหดเหี้ยมนี้ได้เลยสักคน แม้ว่าใบหน้าที่หล่อเหลารูปงามดุจเซียนปั้นจะเป็นที่ต้องตาของสตรีหลายคน แต่บุรุษผู้นี้นอกจากไม่สนใจสตรีแล้วเขายังจับสตรีหลายคนที่ทำผิดเข้าคุกมาแล้ว
“เสี่ยวปิง เร็ว ๆ เข้า”
ขบวนม้าขององครักษ์สกุลกู้อีกสองคนตามอยู่ด้านหลัง เมื่อนางเริ่มชะลอฝีเท้าม้าลงและรีบลงจากหลังของเสี่ยวปิงเพื่อวิ่งเข้าไปในร้าน
ร้านยาหมอหลุนจิ่น
“ท่านหมอ!! เร็ว ๆ เข้าช่วยข้าที”
หมอชายอายุราว ๆ สี่สิบกว่าเดินออกมาเพื่อจะมาดูอาการของคนป่วยเมื่อเห็นว่าเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ของจิ่งโจวจึงได้เอ่ยถามทันที
“คุณหนูกู้ วันนี้ท่านป่วยเป็นอะไรมางั้นหรือขอรับ ข้าจะลองจับชีพจรดู…”
“ไม่ใช่ข้า ท่านหมอ….”
“อ้าว แล้วท่าน…รีบร้อนมาที่นี่มิได้มาหาหมอ เช่นนั้นหรือว่าท่านมาซื้อยาให้ใต้เท้ากู้หรือ”
“ไม่ใช่ ๆ”
นางไม่ได้ตอบหมอแต่ค่อย ๆ ดึงห่อผ้าที่ผูกเอาไว้กับตัวออกมา นางค่อย ๆ วางมันลงบนโต๊ะของหมอหลุนจิ่น ในนั้นมีเจ้าแมวตัวอวบอ้วนสีส้มลายริ้วค่อย ๆ ไอออกมา
“นี่มัน…แมวนี่ขอรับ!”
“ใช่เจ้าค่ะท่านหมอหลุน ท่านช่วยดูอาการมันให้หน่อยสิเจ้าคะ”
“แล้วนี่...เอ่อ คุณหนูกู้จะให้ข้าช่วยทำอะไร แล้วทำไมมันถึงได้จะอาเจียนอยู่ตลอดเวลาเช่นนั้น”
หมอหลุนมองดูแมวลายสีเข้มที่ค่อนข้างอ้วนเกินขนาดที่เรียกว่าแมวแต่ก็เป็นแมว ดูแล้วคิดว่ามันคงได้รับการดูแลอย่างดีไม่ต่างกับคุณหนูในเรือนก็ว่าได้
เพราะขนที่ดูเรียบกริบหนวดที่ยาวเสมอกันแววตาที่กลมใสและอุ้งเท้าสีชมพูดูสุขภาพดี จมูกที่แต้มสีชมพูอมแดงนั้นเริ่มมีน้ำออกมาแสดงว่ามันมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นเพราะมันโก่งคอจะอาเจียนตลอดเวลา
“ใช่ ๆ ท่านช่วยมันหน่อย เสี่ยวจูมัน…. กินปลาเข้าไปแล้วคงจะกินเร็วไปหน่อย”
“กินปลางั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ก้างก็เลยติดคอมันท่านช่วยเอาออกให้มันทีสิเจ้าคะ”
“อะไรนะ!! ก้างติดคอแมว!!”