บทที่ 2 เป็นยัยขี้อ่อยของเขา
ชาติก่อนถูกเขาขืนใจมาสี่ปี ซูเนี่ยนเวยจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าน้ำเสียงแหบพร่าและอัดอั้นนี้หมายความว่าอะไร
เธอเอ่ยเสียงเบาว่า “รู้”
เธอก้มหน้างุด แก้มขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
หัวใจของเฟิงหนานซิวสั่นไหวอย่างรุนแรงทีหนึ่ง
เธอกำลังเขินอายงั้นเหรอ?
ทว่าเพียงครู่เดียว เขาก็ปฏิเสธความคิดนี้
ถ้าไม่ได้เล่นละคร ผู้หญิงจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ต่อหน้าคนที่ชอบเท่านั้น ซูเนี่ยนเวยเกลียดเขา เกลียดเขาจนถึงขั้นรู้สึกว่าเขาน่าขยะแขยง
มีแต่อยากให้เขาไสหัวไปให้ไกลทุกเวลา กระทั่งหวังให้เขาหายสาบสูญไปตลอดกาล
เฟิงหนานซิวเผยสีหน้าเยือกเย็นลง “มาไม้ไหน......” อีกแล้ว!
พูดยังไม่ทันจบ ซูเนี่ยนเวยก็ขยับตัวบนเตาน์เตอร์อ่างล้างหน้าชิดหาเขา ก่อนจะใช้ขาโอบล้อมเอวเขา
เธอดึงเนคไทที่หละหลวมของคนตรงหน้า พลันรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น
“ฉันบอกว่า ไม่อยากให้นายไป”
ดวงตาดำขลับของซูเนี่ยนเวยเผยประกายแสงพร่างพราว ประกอบกับหางตาชี้ขึ้นที่สุดแสนจะเย้ายวน
เฟิงหนานซิวรู้สึกแน่นคอ สีหน้าเองก็พลางอ่อนโยนลง
ซูเนี่ยนเวยพึงพอใจกับปฏิกิริยาของเขามาก เธอยื่นตัวออกไป ไม่สนใจว่าตัวเองจะควบคุมบาลานซ์ได้หรือเปล่า พลันใช้แขนเรียวเล็กขาวผ่องโอบคอของเฟิงหนานซิว
เฟิงหนานซิวอุ้มเธอโดยอัตโนมัติ
“ฉันง่วงแล้ว กลับไปนอนได้หรือเปล่า?”
วินาทีที่ร่างกายถูกโอบขึ้นกลางอากาศ ซูเนี่ยนเวยก็รู้แล้วว่าเฟิงหนานซิวก็ยังคงเหมือนแต่ก่อน ไม่อาจปฏิเสธความต้องการของเธอได้แม้เพียงเล็กน้อย
ชาติก่อนผู้หญิงที่ต้องใจเฟิงหนานซิวด่าเธอว่าอะไรนะ?
ใช่ ยัยขี้อ่อย
ยัยขี้อ่อยก็ยัยขี้อ่อยเถอะ บีบคั้นให้ตัวเองเป็นผู้หญิงอ่อนโยนและสง่างามมาทั้งชีวิต สุดท้ายก็ไม่ได้ตายดีอยู่ดี ชาตินี้ เธอเป็นยัยขี้อ่อยก็ได้ ยัยขี้อ่อยของเฟิงหนานเพียงคนเดียว
ที่บอกว่าง่วงนั้นเป็นเรื่องจริง ทันทีที่ซูเนี่ยนเวยหัวถึงหมอนก็หลับผล็อยไปแล้ว
รอเธอตื่นมาอีกที พระอาทิตย์เพิ่งตกดิน แสงอบอุ่นสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ทำให้ซูเนี่ยนเวยได้ดื่มด่ำกับความเงียบสงบครู่หนึ่ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดบรรยากาศ
แววตาของซูเนี่ยนเวยพลันเปลี่ยนไปทันที
คนที่จะหาเธอในเวลาแบบนี้ มีเพียงคนคนหนึ่งเท่านั้น นั่นก็คือน้องสาวที่วางแผนทำร้ายเธอมาทั้งชีวิต ซูเสวี่ยอวิ่น
อดอาหาร กรีดข้อมือ สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่ซูเสวี่ยอวิ่นสอนเธอด้วย ‘ความหวังดี’
ซูเนี่ยนเวยจำได้ว่าซูเสวี่ยอวิ่นเคยให้มีดเธอเล่มหนึ่ง ได้ยินมาว่ามีคุณสมบัติพิเศษ ตอนกรีดข้อมือจะเกิดรอยแผลปลอม ขู่ให้เฟิงหนานซิวตกใจก็พอแล้ว
รู้สึกได้ถึงความเจ็บบนข้อมือ เห็นได้ชัดว่าซูเนี่ยนเวยถูกคนหลอกให้เป็นคนโง่เขลาอีกครั้ง
เธอลุกขึ้นมาค้นมีดเล่มนั้น ตอบข้อความซูเสวี่ยอวิ่นด้วยรอยยิ้ม
ถ้ามีคนอยู่ที่นี่ ก็จะสังเกตเห็นแน่ ๆว่ารอยยิ้มของซูเนี่ยนเวยนั้นร้ายกาจขนาดไหน
หลังจากได้รับการตอบกลับจากซูเสวี่ยอวิ่น ซูเนี่ยนเวยก็เปลี่ยนชุดนอน แล้วนอนบนเตียงอย่างเกียจคร้าน
ชาติก่อนที่ซูเสวี่ยอวิ่นกับเจียวจวิ้นเจี่ยร่วมมือกันทำร้ายเธอ เธอจำเข้าเลือดเข้ากระดูกดำ ชาตินี้ เธอจะทำให้พวกเขาได้รู้ ว่าอะไรคือหนี้เลือดสะสางด้วยเลือด
เฟิงหนานซิวนั่งอยู่ในห้องหนังสือ แววตาเหม่อลอยเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสมาธิไม่ได้จดจ่อกับงาน
ผู้ช่วยฉินเจิงถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะเอามงกุฎเพชรที่ประณีตงดงามออกมาจากกล่อง
“เฮียเฟิง ของขวัญที่สั่งทำให้คุณหญิงเดือนก่อนมาถึงแล้ว ท่านคิดว่า?”
เฟิงหนานซิวปรายตามองครู่หนึ่ง นึกถึงท่าทางสนิทสนมของซูเนี่ยนเวยในห้องน้ำที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เส้นประสาทที่ตึงเครียดพลันค่อยๆผ่อนคลายลง ซ้ำแววตายังเผยรอยยิ้มอ่อนโยนเล็กน้อย
“เอาไปให้เธอ”
พูดจบ เฟิงหนานซิวก็ลุกขึ้นยืน “ฉันเอาไปให้เอง”
ทั้งสองคนเดินไปยังห้องนอนของซูเนี่ยนเวย เพิ่งผ่านทางเลี้ยว ก็เห็นซูเสวี่ยอวิ่นเหยียบส้นสูงเข้าไปในห้องของซูเนี่ยนเวย
เฟิงหนานซิวชะงักฝีเท้า บรรยากาศรอบข้างพลันดิ่งลงสู่จุดเยือกแข็งในพริบตา
ให้ซูเสวี่ยอวิ่นเข้าออกคฤหาสต์ได้ตามใจ คือความต้องการที่แข็งกร้าวของซูเนี่ยนเวย ที่น่าตลกคือ แม้แต่คนใช้ที่นี่ก็ยังรู้ว่าซูเสวี่ยอวิ่นก็คือคนส่งข่าวคนหนึ่ง แต่เขากลับยอมตอบตกลงความต้องการแบบนี้ของเธอ
นี่เพิ่งจะถูกรังแกไป เธอก็อดใจรอบอกผู้ชายคนนั้นไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?
เฟิงหนานซิวเผยยิ้มเสียดสี ความรู้สึกในดวงตาประหนึ่งพายุฝนที่กำลังจะมาเยือน ทั้งเยือกเย็นและประหลาด เขาเอ่ยว่า “ของนี่ เอาไปทิ้งซะ”
ฉินเจิงยักไหล่ เขามองแผ่นหลังที่เด็ดขาดของเฟิงหนานซิว ก่อนจะเก็บมงกุฎเอาไว้เงียบๆ
เฟิงหนานซิวเป็นคนเลือกและดีไซน์ห้องนอนของซูเนี่ยนเวยเองด้วยตัวเอง แสงดีมากๆ โต๊ะหนังสือ โต๊ะเครื่องแป้งภายในห้อง กระทั่งของตกแต่งชิ้นเล็กๆที่อยู่มุมห้องก็ผ่านการังสรรค์จากผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น
ซูเสวี่ยอวิ่นมองเครื่องประดับเต็มโต๊ะเครื่องแป้ง ดวงตาเผยแววดุร้าย
ทั้งที่ของเหล่านี้ เหมาะกับเธอกว่าแท้ๆ
สักวัน เธอจะเอาสิ่งเหล่านี้มาอยู่ในมือตัวเอง คนต่ำทรามอย่างซูเนี่ยนเวยไม่เหมาะที่จะมีสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ
“เธอมาแล้วเหรอ?”
ซูเนี่ยนเวยเงยหน้าขึ้นจากเตียงอย่างเกียจคร้าน ใบหน้างดงามใต้แสงพระอาทิตย์ตกดินสะกิดความเกลียดชังของซูเสวี่ยอวิ่นอีกครั้ง
ซูเสวี่ยอวิ่นสะกดอารมณ์ตัวเองอย่างรวดเร็ว ปรายตามองข้อมือที่บาดเจ็บของซูเนี่ยนเวยแวบหนึ่ง พลันถามเสียงร้อนรนว่า “พี่คะ เป็นยังไงบ้าง? สำเร็จหรือยัง?”
“พี่รู้ไหม ว่าพี่จวิ้นเจี๋ยเป็นห่วงพี่มากขนาดไหน ข้าวก็กินไม่ลง แถมยังผอมไปเยอะเลยด้วย เขาให้ฉันมาบอกพี่ ว่าตราบใดที่แข็งแกร่งขึ้น ก็จะแย่งพี่กลับไปจากเฟิงหนานซิวแน่ ๆ แล้วค่อยแต่งงานกับพี่อย่างสมเกียรติ”
“ถ้าหากว่ามีผู้ชายสักคนรักฉันขนาดนี้ แม้จะให้ฉันแลกด้วยชีวิต ฉันก็จะช่วยให้เขาสมหวังแน่ ๆ”
คำพูดแบบนี้ ชาติก่อนซูเนี่ยนเวยแทบจะได้ยินทุกวัน จนเป็นผลทำให้ถูกล้างสมอง คิดว่าเจียวจวิ้นเจี๋ยรักเธอเข้ากระดูกจริงๆ
ซูเนี่ยนเวยยกยิ้มมุมปากอย่างเสียดสี
เธอเล่นมีดในมีด ทว่าสายตากลับจับจ้องลำคอของซูเสวี่ยอวิ่น
ถ้ากรีดลงไป......
“พี่คะ!” ซูเสวี่ยอวิ่นหันกลับไปก็สะดุ้งตกใจกับแววตาเย็นชาและดุร้ายนั่น
ใจเธอเต้นอย่างตื่นกลัว เอ่ยว่า “พี่ได้ยินที่ฉันพูดไหม?”
ถ้าเป็นแต่ก่อน ซูเนี่ยนเวยคงน้ำตารื้นและยอมทำทุกอย่างแล้ว แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ยังคิดได้ไม่ถ่องแท้ ข้อมือก็ถูกซูเนี่ยนเวยจับไว้แล้ว
“เรื่องพวกนั้นเอาไว้ก่อน ฉันมีของสนุกๆที่ยังไม่ทันได้เอาให้เธอลองเลย!”
ซูเสวี่ยอวิ่นเอ่ยถามว่า “อะไร?”
เมื่อเห็นมีดในมือของซูเนี่ยนเวย ก็พลันตระหนกทันที “พี่ มีดไม่ใช่ของที่จะเอามาเล่นกันนะคะ”
“หืม? นี่เธอเป็นคนให้ฉันเองไม่ใช่เหรอ? ยังไงก็เป็นของปลอมอยู่แล้ว มีอะไรน่ากลัวกัน เมื่อวานฉันเพิ่งใช้ไปเอง แม้จะเจ็บเล็กน้อย แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน”
ปลายมีดทาบไว้บนข้อมือซูเสวี่ยอวิ่น ซูเนี่ยนเวยยิ้มขำเสียงเบา
องศาของมุมปากชี้ขึ้นอย่างพอดี ประกอบกับใบหน้างดงามของซูเนี่ยนเวย สะกดสายตาจนชวนใจสั่น ทว่าซูเสวี่ยอวิ่นกลับผวามากขึ้นกว่าเดิม
เธอรู้สึกว่า ซูเนี่ยนเวยอยากฆ่าเธอ
“พี่คะ ฉัน......” ซูเสวี่ยอวิ่นชักมือตัวเองกลับอย่างสุดแรง
“เธอกลัวอะไรกัน? หรือว่ามีดที่เธอให้ฉันไม่ใช่ของปลอม กรีดลลงไปแล้วจะตายงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ ฉัน......อะ!” ซูเสวี่ยอวิ่นพูดยังไม่ทันจบ ข้อมือก็ถูกเลือดแต้มเป็นสีแดงแล้ว
เจ็บ ใบหน้าของซูเสวี่ยอวิ่นบิดเบี้ยวจนถึงขีดสุด ไม่อาจเสแสร้งกับซูเนี่ยนเวยได้อีกต่อไป
“ซูเนี่ยนเวย ยัยคนต่ำทราม!” เธอตวาดเสียงก่นด่า
“ต่ำทราม? ต่ำทรามสู้เธอได้ไหม? หรือเธอนึกว่าหลังจากที่ตัวเองอ่อยผู้ชายคนหนึ่ง แล้วให้ผู้ชายคนนี้มาหลอกใช้พี่สาวตัวเองนั้นเป็นการกระทำที่สูงส่งมาก?” ซูเนี่ยนเวยหมุนมีดเล่น นิ้วมือเรียวขาวเช็ดเลือดบนใบมีดออกช้าๆ ซ้ำยังเผยหน้าแต้มยิ้มอย่างไม่รีบร้อน
แท้จริงแล้วการกระทำนี้ดูโรคจิตเล็กน้อย ทว่าซูเนี่ยนเวยทำแล้วกลับมีเพียงความงดงาม เย้ายวนจนทำให้คนแทบหายใจติดขัด
ซูเสวี่ยอวิ่นตกใจจนช็อก อกสั่นขวัญหาย รู้สึกว่ามีดเล่มนั้นยังแขวนอยู่บนหัวใจเธอ
เธอไม่อาจยอมรับได้ว่าหุ่นเชิดที่เชื่อฟังมาโดยตลอดจู่ ๆจะโจมตีเธอกลับในสักวัน
“บ้าไปแล้ว เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
ซูเสวี่ยอวิ่นวิ่งออกไปอย่างโซเซ
เฟิงหนานซิวกำลังจะออกจากบ้าน ก็เห็นซูเสวี่ยอวิ่นที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัว ใจพลันสั่นสะท้านทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวขาไปด้านบน
ซูเสวี่ยอวิ่นกลับรั้งเขาเอาไว้ อ้อนวอนทั้งน้ำตาว่า “คุณเฟิง ช่วยฉันด้วย พี่จะฆ่าฉัน คุณต้องอธิบายกับเธอให้ชัดเจนนะคะ ฉันไม่ได้จะแย่งคนของพี่ ไม่ได้จะแย่งจริงๆ”
‘คน’ คนนี้เป็นใคร แม้ไม่พูดออกมาตรงๆก็รู้กันดี
ขาของเฟิงหนานซิวชะงักเหมือนถูกทับด้วยหิน ใบหน้าเหมือนถูกแช่แข็ง ดวงตาเผยแววโหดเหี้ยมและเย็นชา
เฟิงหนานซิวไม่แม้แต่จะหันศีรษะ “ส่งคุณซูไปโรงพยาบาล”
สิ้นเสียง ก็มุ่งไปยังห้องนอนของซูเนี่ยนเวยทันที