บทที่ 17 แล้วเธอ ชอบใคร
ฉินเจิงมองเจียวจวิ้นเจี๋ยที่ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนเสมือนเป็นดาวเด่นของงาน ในใจภาวนาให้เขาโชคดีเป็นหมื่นครั้ง
งานประมูลจบลง เจียวจวิ้นเจี๋ยย่อมกลายเป็นคนที่ทุกคนล้านอยากประจบและสานสัมพันธ์ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนที่ซูเนี่ยนเวยเข้ามาในงานเลี้ยง ก็เห็นเขาถูกฝูงคนล้อมรอบ สีหน้าเหิมเกริม แววตาลุ่มหลง
เห็นได้ชัด ว่าได้ใจจนตัวลอยแล้ว
เธอแค่นยิ้มเสียงเย็น หันไปทางเฟิงหนานซิว ทว่ากลับไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป
เพราะความสัมพันธ์ของเธอกับเฟิงหนานซิวไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน กอดเมื่อกี้นี้ก็เป็นการกระทำที่ไม่มีทางเลือก
เธอถือแก้วไวน์ไปนั่งข้างเฟิงหนานซิว ซูเนี่ยนเวยปั้นหน้ายิ้ม น้ำเสียงกลับฟังดูน้อยใจเล็กน้อย
“ที่นี่ใหญ่ขนาดนี้ นายไม่รอฉัน ฉันเกือบพลัดหลงกับนายแล้ว”
ชายหนุ่มนั่งพิงโซฟาไม่ขยับ ราวกับว่ายึดมั่นในความคิดที่จะไม่สนใจเธอ เขาหลุบตาลง ก่อนจะจิบไวน์คำหนึ่งอย่างเย็นชา
“เฟิงหนานซิว” ซูเนี่ยนเวยยื่นตัวเข้าไปใกล้
เธอมองสำรวจรอบๆ ก่อนจะวางนิ้วมือลงบนโซฟาเงียบๆ ราวกับแมลงตัวหนึ่ง ดิ้นๆงอๆ ชอนไชเข้าไปตามช่องว่างบนโซฟาที่ไม่มีใครมองเห็น มุดเข้าไปในฝ่ามืออุ่นร้อนของเฟิงหนานซิว จากนั้นก็เกลี่ยเกาเบาๆ
“คุณ......สามี?” น้ำเสียงอ่อนนุ่มลงสองระดับ
ไฟในร่างกายของเฟิงหนานซิวพลันเหมือนถูกจุดขึ้น เขากลืนน้ำลาย ดาวตาดำขลับราวกับเหมือนถูกคนวางเพลิง แผดเผาอย่างร้อนแรงและโชติช่วง เขาแทบอยากจะดึงตัวซูเนี่ยนเวยมาทุเลาความร้อนรุ่มที่ก่อกวนใจตั้งแต่ตอนนี้
ซูเนี่ยนเวยไม่รับรู้เลยสักนิด เพียเพราะการกระทำเล็กๆนี่ ตัวเองก็กลายเป็นเนื้อแกะรสเลิศในสายตาหมาป่าร้ายแล้ว
เมื่อสังเกตว่ามีคนมองมา ซูเนี่ยนเวยก็รีบชักมือกลับ แล้วนั่งดีๆอย่างสง่าผ่าเผย
อีกด้านหนึ่ง ก็มีคนมาคารวะเหล้าให้เจียวจวิ้นเจี๋ยมากขึ้น
ด้านหน้าสุดของงานเลี้ยงเองก็มีคนมาตั้งโพเดียมเล็กไว้สำหรับพูด เจียวจวิ้นเจี๋ยถูกเจ้าหน้าที่เชิญขึ้นไปเหมือนจะเขาให้แบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จ
นี่คือช่วงพิเศษของงานเลี้ยงที่ฉินเจิงเพิ่มเข้าไปอย่างกะทันหัน
ดังนั้น เรื่องสนุก กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
หญิงสาวเหยียดยิ้มมุมปากอย่างเสียดสี ทว่ามองจากมุมของเฟิงหนานซิว กลับเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดีใจ
ผู้ชายคนนั้นสำเร็จแล้ว เธอดีใจขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
เฟิงหนานซิวบีบมือที่ถือแก้วไวน์ไว้แน่น ในปากเองก็มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
เจียวจวิ้นเจี๋ยรอโอกาสแบบนี้มาไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยคำพูดที่ซักซ้อมในใจเป็นพันหมื่นรอบออกมาอย่างตื่นเต้น
ยี่สิบนาทีผ่านไป
ในที่สุดฉินเจิงก็รอไม่ไหวแล้ว พลันเอาเอกสารขึ้นไปอย่างเกรงอกเกรงใจ
“คุณชายเจียว ได้ที่ดินแปลงนี้มาครอบครอง คุณต้องดีใจมากแน่ๆ ไม่ทราบว่าเงินงวดสุดท้าย สะดวกจ่ายไหมครับ?”
“.....?” ใบหน้าของเจียวจวิ้นเจี๋ยที่แดงก่ำเพราะกล่าวสุนทรพจน์เมื่อกี้นี้พลันซีดเผือดในพริบตา “เงินงวดสุดท้ายไม่ต้องจ่ายไม่ใช่เหรอ?”
อีกอย่างเงินมัดจำ ซูเนี่ยนเวยก็ต้องคืนให้เขาด้วยเช่นกัน
สมองเขาชาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ จึงเอ่ยคำพูดออกมาทีเดียว ผู้คนด้านล่างเวทีที่เห็นเขาเป็นตัวตลกก็ลั่นเสียงหัวเราะ ไม่ปิดบังแววเหยียดหยามที่เผยออกมาเลยสักนิด
“ซื้อของไม่อยากจ่ายเงินงวดสุดท้าย ฉันเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเลย”
“ฉันก็นึกว่าเป็นคุณชายร่ำรวยของตระกูลไหนซะอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนโง่ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ไม่จ่ายเงินงวดสุดท้าย ฝันอยู่หรือไง?”
“พวกคุณอย่าบอกผมเชียวนะ ว่าเขาละเมอซื้อที่ดินน่ะ แต่จริงๆแล้วกลับไม่มีเงินซื้อเลยด้วยซ้ำ”
คำว่าไม่มีเงินซื้อ เสมือนเป็นมีดที่ทิ่มแทงเจียวจิ้นเจี๋ยอย่างไร้ความปราณี
เขากำหมัดแน่น อ้างว่า “เงินงวดสุดท้ายยังอยู่ในบัญชีบริษัท ตอนนี้ผมไม่ยังสะดวกเคลื่อนย้ายเงิน สามารถ......”
“คุณชายเจียว ในสัญญาก็ระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าต้องชำระเงินงวดสุดท้ายภายในสามชั่วโมง ถ้าทำไม่ได้ ก็ถือว่าคุณผิดสัญญาแล้ว หรือไม่งั้นคุณลองคุยกับทางบริษัทดีไหมครับ?” ฉินเจิงเอ่ยด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน ยื่นข้อตกลงในสัญญามาให้เจียวจวิ้นเจี๋ยดู
เมื่อเจียวจวิ้นเจี๋ยเห็นเนื้อความบนกระดาษ สีหน้าก็พลันอึมครึมลงอีกระดับหนึ่ง
ตอนนี้ถ้าโทรหาตระกูลเจียว เขาจะไม่ได้อะไรทั้งนั้น นอกจากความเหยียดหยามดูถูก
เขามองหาซูเนี่ยนเวยที่อยู่ในฝูงคนจนเจอ ก่อนจะส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
ซูเนี่ยนเวยกลับจิบไวน์อย่างไม่รีบร้อน ทำเป็นมองไม่เห็นเขาโดยสิ้นเชิง
ท่าทางเย็นชาแบบนี้ ทำให้สมองของเจียวจวิ้นเจี๋ยเหมือนมีสายฟ้าแลบ พลันตาสว่างขึ้นมาทันที
หญิงสาวที่เพียงแค่เขาปรากฏตัวก็จะมองไม่เห็นสิ่งใดอีก จะเผยท่าทีเย็นชาไม่แยแส และไม่มองเขาแม้เพียงแวบหนึ่งในขณะที่รู้ว่าเขาตกที่นั่งลำบากได้อย่างไรกัน
นึกถึงครั้งก่อนที่ซูเนี่ยนเวยตบหน้าเขาและเรื่องที่กรีดทำร้ายซูเสวี่ยอวิ่น เจียวจวิ้นเจี๋ยก็พลันกัดฟันกรอด
ซูเนี่ยนเวย ยัยผู้หญิงต่ำทรามนี่ บังอาจมาหลอกเขา
“นาย แล้วก็เธอ พวกนายเป็นพวกเดียวกัน” เจียวจวิ้นเจี๋ยโกรธเกรี้ยว ก่อนจะวิ่งไปตรงหน้าซูเนี่ยนเวยอย่างโซเซ
“เธอเป็นคนบอกเอง ว่าแค่ประมูลที่ดินเป็นฉากบังหน้าก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินจริงๆ แล้วที่ดินก็จะเป็นของฉัน ตอนนี้นายจะเอาเงินก็ไปเอากับเธอซะ”
สิ้นเสียง ทุกคนก็มองเจียวจวิ้นเจี๋ยเหมือนกำลังมองคนปัญญาอ่อน
“เหอะ!” ซูเนี่ยนเวยแค่นยิ้ม แกว่งขาที่ไขว้ไว้ด้วยกันอย่างผ่อนคลาย “คุณผู้ชายคนนี้ คุณมีโรคละเมอหรือเปล่า?”
“คุณเป็นใคร? ทำไมฉันต้องมอบที่ดินแปลงหนึ่งที่มีมูลค่าแสนแพงให้คุณฟรีๆด้วย? ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อเสียง มีสิทธิ์อะไรที่จะตัดสินเรื่องที่ดินของเฟิงซื่อ? หรือคุณลองถามทุกท่านที่อยู่ในงานสิ มีใครบ้างที่จะใจดียกที่ดินมูลค่าหกร้อยล้านให้คนอื่นฟรีๆแบบนี้?”
เรื่องแบบนี้พูดออกไปก็คือเรื่องตลก ซูเนี่ยนเวยเข้าใจจุดนี้ดี ดังนั้นเธอจึงกล้าที่จะปั่นหัวเจียวจวิ้นเจี๋ยเล่นอย่างเปิดเผยในงานแบบนี้
จากนั้นก็มีคนเริ่มพูดต่อ
“คุณชายเจียว เรื่องโกหกแบบนี้ถ้าพูดออกไป แม้แต่เด็กประถมยังไม่เชื่อเลย”
“ได้ที่ดินมูลค่าหกร้อยล้านฟรีๆ ต้องฝันแบบมีชั้นเชิงถึงจะฝันได้สินะ”
“อย่าพูดอีกเลยน่า ระวังเกิดเหตุฆาตกรรมนะ ถูกปิดโปงต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ถ้าเป็นฉัน คงไม่อยากอยู่แล้ว”
เมื่อกี้เจียวจวิ้นเจี๋ยถูกขื่นขมจนน่ายกย่องมากเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ยิ่งถูกเหยียดหยามจนน่าอนาถมากเท่านั้น
ความรู้สึกที่ถูกเยาะเย้ย ถูกประชด ถูกเหยียดหยาม ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีถาโถมมาใส่เขาในเวลาเดียวกัน สะเทือนจนเจียวจวิ้นเจี๋ยรู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด
เขาไม่ได้ฝัน ทุกอย่างเป็นฝีมือของซูเนี่ยนเวย ผู้หญิงต่ำทรามนั่นหลอกเขา
“เธอจะหลอกเอาเงินค่าปรับของฉัน ซูเนี่ยนเวย ยัยผู้หญิงชั่ว บอกฉันมาซะ ว่าเธอหลอกฉันใช่ไหม”
เจียวจวิ้นเจี๋ยยื่นมือไปหาซูเนี่ยนเวยอย่างโกรธเกรี้ยว ทว่ากลับไม่รู้ว่าถูกใครขัดขา โซเซสองทีก็ล้มคะมำ
“คุณผู้ชายคนนี้ โรคหลงผิดรักษาไม่ง่าย หากคุณต้องการ ฉันสามารถช่วยแนะนำหมอให้คุณได้”
ซูเนี่ยนเวยเหยียดมองเขาจากที่สูง แววตาเย็นเยือกจนชวนตัวสั่น
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียวจวิ้นเจี๋ยเห็นเธอในมุมแบบนี้ ยังไม่ทันตอบสนอง ซูเนี่ยนเวยก็โน้มตัวลงมาเล็กน้อย ใช้เสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนพูดกับเขา
“นี่คือราคาที่นายกับซูเสวี่ยอวิ่นวางแผนทำร้ายฉัน เจียวจวิ้นเจี๋ย นี่ยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น”
น้ำเสียงเธอเสมือนเสียงปีศาจที่สามารถพรากวิญญาณคนได้ เจียวจวิ้นเจี๋ยเกร็งร่างกาย หวาดผวาจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
ซูเนี่ยนเวยเห็นดังนั้น ก็เผยรอยยิ้มจางที่เสมือนสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ พลันเตะเจียวจวิ้นเจี๋ยหนึ่งทีเหมือนเตะขยะ
ในขณะที่ความสนใจของคนในงานเลี้ยงยังอยู่ที่เรื่องของเจียวจวิ้นเจี๋ย ซูเนี่ยนเวยก็ใช้โอกาสแอบดึงชายเสื้อของเฟิงหนานซิววิ่งออกไปข้างนอก
ทั้งคู่เดินอยู่บนถนนใหญ่ สายลมเย็นเฉียบ ทว่าหัวใจกลับอบอุ่น
จู่ ๆมือของเธอก็ถูกฝ่ามืออุ่นร้อนกุมไว้
ซูเนี่ยนเวยหันหัว พลันเหมือนถูกความร้อนรุ่มในแววตาของเฟิงหนานซิวแผดเผา
เขาไม่แทรกแซงเรื่องเมื่อกี้นี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าตอนนี้กลับอดปริปากไม่ได้ว่า “บอกมาสิ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ก็แค่เกลียดเขา”
เฟิงหนานซิวถามต่อว่า “แล้วเธอ ชอบใคร?”
“ชอบ......” ซูเนี่ยนเวยเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม ก่อนที่วินาทีถัดมา แววตาเธอจะถูกกลบด้วยความตื่นกลัว
รถตู้สีดำคันหนึ่งกำลังขับพุ่งมายังพวกเขาสองคน
“เฟิงหนานซิว ระวัง”
เสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น โลกเงียบสงัดลง
ซูเนี่ยนเวยนอนอยู่บนน้ำเลือดสีแดงฉาน ลมหายใจถูกลมเย็นกลบกลืน ยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนแรงลง