ตอนที่ 5 ข้อเสนอแลกเปลี่ยน
โจเซฟนั่งจ้องมองรูปถ่ายของครอบครัวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม แต่หัวใจกลับเจ็บปวดรวดร้าว กรามทั้งสองข้างขบเข้าหากันเป็นสันนูน ดวงตาวาววับดุจแสงของดวงไฟ มุมปากหยักลึกถูกยกขึ้น
...ในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง ความแค้นและความเจ็บปวดจะถูกปลดปล่อยเสียที...ชายหนุ่มคิดแล้วก็เก็บรูปถ่ายลงในลิ้นชักโต๊ะตามเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูห้องซึ่งมีเสียงเคาะดังขึ้นพอดี
“เข้ามา” เขาเอ่ยอนุญาตเสียงเข้ม
ชวินเดินไปหยุดลงตรงหน้าโต๊ะทำงานที่เจ้านายหนุ่มนั่งอยู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณสินธพมาแล้วครับ”
“ไปพาเขามาพบฉันที่นี่”
“ครับ” ชวินรับคำแล้วเดินกลับออกไปอีกครั้ง โจเซฟกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ พร้อมกับเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้เพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับแขกอันทรงเกียรติของเขา
และ 5 นาทีต่อมาร่างท้วมของชายวัย 65 ปี ก็เดินตามหลังร่างสูงของชวินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของนักธุรกิจหนุ่ม เพียงแว่บแรกที่สินธพมองสบนัยน์ตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าก็ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลังเลยทีเดียว สายตาแบบนี้เขาเคยเห็นมันมาก่อนแต่เคยเห็นที่ไหนนั้นเขาก็จำไม่ได้เหมือนกัน
นักธุรกิจหนุ่มจ้องมองชายสูงวัยที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาไม่วางตา ผู้ชายชั่วช้าคนนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนอกเสียจากอายุที่มากขึ้นกับริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัย และเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้เขาจึงลุกขึ้นยืนตามมารยาทก่อนจะเชิญอีกฝ่ายนั่งลง “เชิญนั่งครับ”
“ขอบคุณครับ” สินธพคลี่ยิ้มกว้างพร้อมกับนั่งลง และเริ่มเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาทันทีอย่างไม่ให้เสียเวลา “คุณโจเซฟคงทราบเรื่องที่ผมมาในวันนี้แล้วนะครับ”
“ครับ ทราบแล้ว ชวินรายงานผมหมดแล้ว” ชายหนุ่มหยุดมองหน้าเขาพร้อมกับยิ้มที่มุมปากก่อนจะพูดต่อ “คุณก็เป็นนักธุรกิจน่าจะรู้ดีนะครับว่าเรื่องเงินๆทองๆมันไม่เข้าใครออกใคร เงินที่คุณยืมผมไปมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ ถ้าจะให้ผมผ่อนผันให้ก็คงต้องคิดกันหนักหน่อย”
“ผมขอผ่อนผันไปอีกสักระยะหนึ่งเท่านั้น แต่รับรองว่าจะใช้หนี้ให้คุณภายในปีนี้แน่นอน ส่วนเรื่องดอกเบี้ยผมยินดีให้คุณคิดเพิ่มได้เลย” สินธพรู้สึกเสียเหลี่ยมไม่นอนที่ต้องมานั่งขอร้องเด็กรุ่นลูกแบบนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือกอย่างอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
“เงิน 50 ล้านนะคุณสินธพ ไม่ใช่แค่ 50 บาท แล้วเจ้าของโรงแรมชื่อดังอย่างคุณ เงินเพียงแค่นั้นจะไม่มีเชียวเหรอครับ” ชายหนุ่มบอกด้วยสีหน้าและแววตาที่เรียบเฉย ผิดกับสินธพที่เริ่มมีสีหน้าที่บึ้งตึงขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายมีทีท่าว่าจะปฏิเสธคำร้องขอของตนเอง
“ขึ้นชื่อว่าธุรกิจมันก็ต้องมีทั้งขาดทุนและได้กำไรนะครับ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่มีให้คุณ แต่ขอผ่อนระยะเวลาออกไปก่อนสัก 6 เดือน” น้ำเสียงของสินธพแข็งกระด้างขึ้นด้วยความรู้สึกไม่พอใจ และนั่นก็ทำให้มุมปากของโจเซฟกระตุกขึ้นก่อนจะพูดอย่างรู้ทัน
“แน่ใจเหรอว่าถ้าผมยืดระยะเวลาให้คุณ แล้วคุณจะมีเงินมาใช้หนี้ผม ตอนนี้โรงแรมของคุณมันก็ไม่ต่างอะไรกับใกล้ล้มไม่ใช่เหรอครับ อย่าคิดที่จะปิดบังคนอย่างผมเลยคุณสินธพ”
สินธพจ้องอีกฝ่ายพร้อมกับกัดกรามกรอดด้วยความโมโหและอับอายที่ชายหนุ่มรู้ถึงสถานการณ์ของโรงแรมเขาในตอนนี้ แต่เขาก็ต้องเก็บความโมโหนั้นเอาไว้เพราะจุดประสงค์ที่มาก็เพื่อขอความเห็นใจ และเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วก็คงต้องเลยตามเลยไป
“ในเมื่อคุณรู้แล้ว คุณก็น่าจะอนุโลมให้ผมสักครั้งนะครับ”
“ฮึ ฮึ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอด้วยความขบขัน ก่อนจะพูดต่อ “คุณยังไม่รู้ตัวเองอีกเหรอว่ากำลังจะล้มละลาย แล้วคุณคิดว่าจะมีเจ้าหนี้ที่ไหนที่จะยอมผ่อนผันหนี้ให้กับคุณ นอกเสียจาก...” โจเซฟหยุดพูดแล้วกระตุกยิ้ม แต่คำพูดประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มพูดค้างคาเอาไว้ทำให้สินธพขมวดคิ้วมุ่นอย่างสนใจ ก่อนจะถามออกไป “นอกเสียจากอะไร?”
“นอกเสียจากจะมีอะไรที่มีค่าเท่าเทียมกันมาค้ำประกันกับผม” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับนึกยิ้มเยาะในใจ กับท่าทางสนใจของชายสูงวัย
สินธพหรี่ตาจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง พลางคิดในใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ไก่อ่อนเสียแล้ว และเขาจะเอาอะไรมาค้ำประกันได้อีกล่ะในเมื่อโรงแรมก็ใช้ค้ำประกันรอบแรกไปแล้ว
“คุณต้องการได้อะไรเป็นสิ่งค้ำประกันก็พูดมาได้เลย”
“ดีที่พูดกันตรงไปตรงมาแบบนี้ ผมชอบ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มกริ่ม แล้วพูดต่อ “เอาแบบนี้ก็แล้วกันคุณสินธพ ผมมีข้อเสนอให้กับคุณ”
“ถ้าทำให้ผ่อนผันหนี้กับคุณได้ผมก็สนใจทั้งนั้น” สินธพถามกลับอย่างไม่ต้องรอให้คิดนาน โจเซฟจึงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่แค่ผ่อนผันหนี้ได้เท่านั้น แต่ผมจะซื้อหุ้นที่หุ้นส่วนของคุณเทขายทั้งหมดแล้วก็จะให้เงินอีกก้อนเพื่อไปพยุงโรงแรมของคุณ เพียงแค่....” เขากระตุกยิ้มอย่างคนที่เหนือชั้นกว่าก่อนจะปรายหางตาไปมองลูกน้องหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของสินธพ และเมื่อสินธพได้ยินข้อเสนอที่มีแต่ผลประโยชน์ให้กับตัวเขาก็ทำตาลุกวาวทันที จากนั้นนักธุรกิจหนุ่มจึงพูดต่อ “เพียงแต่สินค้าที่จะใช้ค้ำประกันนั้นต้องเป็นลูกสาวของคุณเท่านั้น”
แววตาที่เต็มไปด้วยความยินดีของสินธพเมื่อครู่หายไปทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ และเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาดุดัน แต่โจเซฟก็ยังคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้านต่ออารมณ์โกรธของชายตรงหน้า
“คิดดูดีๆนะครับคุณสินธพ ข้อเสนอของเจ้านายผมไม่มีให้ใครแบบนี้บ่อยๆนะครับ ความอยู่รอดของโรงแรม แถมยังมีเงินทุนอีก 1 ก้อนเชียวนะครับและลูกสาวของคุณก็จะอยู่อย่างสุขสบายผมรับรองได้” ชวินขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดเสริมให้กับเจ้านายหนุ่ม
“ทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับขายลูกสาวของตัวเองหรอก” สินธพหันมาตะคอกใส่ชวินก่อนจะหันมาทางโจเซฟอีกครั้ง
“ตามใจคุณแล้วกันคุณสินธพ ผมยื่นข้อเสนอให้คุณแล้ว คุณไม่รับก็เรื่องของคุณ ส่วนเรื่องเงินคุณก็ต้องหามาให้ผมให้ครบทุกบาททุกสตางค์ภายในเดือนนี้ ไม่งั้นถึงขั้นฟ้องศาลแน่ๆ” โจเซฟลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งลงที่ชุดโซฟารับแขก ก่อนจะยกขาขึ้นไขว้กันอย่างสบายอารมณ์
สินธพหันตามไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดและบึ้งตึง ก่อนจะก้าวตามไปหยุดยื่นอยู่ด้านหน้าของชายหนุ่ม “คุณขู่ผมงั้นเหรอ แล้วคุณต้องการตัวลูกสาวของผมมาทำอะไร?” เขาเอ่ยถามเสียงเข้มจัด
“แล้วคุณคิดว่าผู้ชายต้องการผู้หญิงมาทำอะไรล่ะ” โจเซฟบอกก่อนจะเหยียดยิ้มที่มุมปากออก และเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเคร่งเครียดมากขึ้นและกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เขาจึงพูดต่อ “ผมให้เวลาคุณตัดสินใจ 1 วันเพราะผมก็เป็นพวกที่ไม่ชอบการรอคอย” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นก่อนเดินเข้ามาหาผู้ที่สูงวัยกว่าพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอีกครั้ง “เดี๋ยวผมคงต้องขอตัวก่อน” เขายิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะหันมาทางคนสนิท “เดี๋ยวนายช่วยอยู่ส่งแขกของฉันด้วยนะ”
“ครับ” ชวินรับคำ
โจเซฟจึงหันมาทางสินธพอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะในลำคอแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานส่วนตัวของตัวเอง ชวินจึงเดินเข้ามาหยุดอยู่ไม่ห่างจากสินธพมากนักก่อนจะเอ่ยแบบยั่วยุออกมา “คิดดูดีๆนะครับคุณสินธพ ลูกสาวของคุณโชคดีมากแค่ไหนที่เจ้านายของผมสนใจ นายหญิงแห่งคฤหาสน์ฮันแมนสันมีแต่คนต้องการนะครับ แถมตัวคุณก็ไม่ต้องล้มละลายด้วย ถ้าปฏิเสธก็น่าเสียดายแย่เลยนะครับ”
สินธพหันมามองหน้าชวินด้วยแววตาดุดัน พร้อมกับขบกรามทั้งสองข้างเข้าหากันอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเน้นเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างเข้มจัด “คุณไม่ได้มาเป็นผมคุณไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกแบบเนี่ยมันเป็นยังไง”
“มันเป็นธรรมดาของโลกครับ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆหรอกครับ คนเราทุกวันเนี่ยต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง” บอดี้การ์ดหนุ่มกระตุกยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ สินธพหรี่ตาลงมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยอาการกรุ่นโกรธก่อนจะกระแทกเสียงลงห้วนๆ
“ผมขอตัวก่อนแล้วกัน”
“เชิญครับ” ชวินยิ้มรับแล้วเดินนำมาเปิดประตูให้กับสินธพ จากนั้นร่างท้วมก็ก้าวออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีสายตาของโจเซฟที่ยืนอยู่อีกห้องหนึ่งมองตามไปด้วยแววตาเคียดแค้น
ชวินก้าวเข้ามาในห้องพักส่วนตัวของเจ้านายหนุ่มก่อนจะเดินไปหยุดยืนใกล้ๆและเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ “เจ้านายคิดว่านายสินธพจะยอมรับข้อเสนอของเจ้านายหรือเปล่าครับ”
“นิสัยคนเห็นแก่ตัวอย่างสินธพ ไม่มีวันปฏิเสธข้อเสนอของฉันแน่ เพียงแค่ตอนนี้มันยังลังเลอยู่เท่านั้นเอง ฮึ ฮึ ฮึ” เจ้านายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาตัวยาวซึ่งสามารถใช้เป็นที่นอนพักสายตาได้ ในขณะนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของชวินก็ดังขึ้น บอดี้การ์ดหนุ่มจึงหยิบขึ้นมาแล้วกดรับสายพร้อมกับถามออกไป
“มีอะไร?” ถามเสร็จก็นิ่งฟังอีกฝ่ายรายงาน และเมื่อคนต้นสายรายงานจบเขาก็กดวางสายก่อนจะหันมาทางเจ้าชายหนุ่มพร้อมกับรายงานในสิ่งที่ได้รับรู้มา “คนของเรามีเรื่องกับคนของนายอิทธิชัยครับ ตอนนี้อยู่ที่โรงพักครับ”
โจเซฟมองสบตากับลูกน้องหนุ่มด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่มีอาการเกรงกลัวหรือหวาดหวั่นกับชื่อที่ถูกเอ่ยขึ้นมาแม้แต่น้อย ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับสอดมือทั้งสองข้างลงไปในกระเป๋ากางเกง “ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่”
“เดี๋ยวผมไปจัดเองครับ” ชวินขันอาสา แต่ฝ่ายเจ้านายหนุ่มกลับยกมือห้ามก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฉันไปเอง แล้วถ้าฉันเดาไม่ผิดงานนี้นายอิทธิชัยก็ต้องออกมาด้วยตัวเองเหมือนกัน” ชายหนุ่มหันมากระตุกยิ้มให้ลูกน้องก่อนจะเดินนำออกไปเงียบๆ
และเมื่อมาถึงสถานีตำรวจ ชวินก็ได้รับรู้ว่าสิ่งที่เจ้านายหนุ่มของเขาคิดเอาไว้นั้นเป็นความจริง เพราะอิทธิชัยพร้อมกับลูกสมุนอีกเกือบ 10 คน กำลังยืนวางมาดท่าทางใหญ่โตอยู่ที่โต๊ะทำงานของร้อยเวรประจำโรงพักแห่งนั้นอยู่ และเมื่อผู้มาใหม่ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้อิทธิชัยจึงหันมามองพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างเยาะๆแล้วหันมาเผชิญหน้ากับนักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งพร้อมกับพูดขึ้นอย่างยิ้มๆ
“สวัสดีครับคุณโจเซฟ ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกับนักธุรกิจหนุ่มไปแรงแห่งยุคที่นี่”
“เช่นกันครับ แต่ผมคิดเอาไว้แล้วว่าต้องได้เจอกับเจ้าพ่อแห่งวงการอัญมณีของภาคกลางที่นี่” โจเซฟบอกเสียงเรียบก่อนจะยิ้มที่มุมปากน้อยๆ
“ได้ข่าวว่าคุณคว้านซื้อที่ดินแถวชานเมืองเอาไว้หมด รวมทั้งพื้นที่ที่ผมหมายตาเอาไว้ด้วย คิดจะขยายธุรกิจหรือว่าซื้อเอาไว้เพื่อเกร็งกำไรครับ” อีกฝ่ายถามต่อด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่แฝงเอาไว้ด้วยแววอำมหิต
“เรื่องขยายธุรกิจนั้นไม่แน่ครับ แต่เรื่องที่จะขายเพื่อเกร็งกำไรผมไม่คิด ผมชอบทำเลแถวนั้นและต้องการซื้อเก็บเอาไว้” หนุ่มลูกครึ่งกระตุกยิ้ม แต่รอยยิ้มนั่นกลับทำให้หัวใจของอิทธิชัยร้อนวูบขึ้นด้วยความโมโหและเจ็บแค้น
“งั้นเหรอครับ” อิทธิชัยหรี่ตาลงมองชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนที่ทั้งหมดจะหันมาทางนายตำรวจวัยกลางคนที่เดินออกมาจากห้องทางด้านหลังของร้อยเวร
“สวัสดีครับ” ผู้กองสมดีเอ่ยทักชายหนุ่มทั้งสอง และพูดต่อ “นับว่าเป็นเกียรติกับสถานีของเรามากที่คนดังระดับคุณ 2 คนมาเยือน แต่จะว่าไปแล้วคุณอิทธิชัยกับผมก็พบกันบ่อยอยู่แล้วจริงไหมครับ”
“อย่าพูดมากดีกว่าผู้กอง แล้วนี้เมื่อไรผมถึงจะประกันตัวลูกน้องของผมได้เนี่ย แค่เรื่องชกต่อยกันธรรมดาๆทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้ รู้ไหมครับว่าผมเสียเวลามากแค่ไหน” อิทธิชัยบอกเสียงเข้มอย่างไม่พอใจ