ตอนที่ 1 วิ่งมาติดกับ
ภายในห้องทำงานชั้นบนสุดของโรงแรมอนันชัยซึ่งติดแอร์คอนดิชั่นเอาไว้อย่างเย็นฉ่ำนั้นไม่สามารถทำให้เจ้าของร่างท้วมที่มีอายุราวๆ 65 ปี รู้สึกเย็นได้เลย บนหน้าผากที่มีรอยเหยี่ยวย่นจากกาลเวลามีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้น สายตาที่จับจ้องไปที่แฟ้มเอกสารการรายงานต้นทุนสิ้นเดือน บวกกับสีหน้าที่เคร่งเครียดบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังอยู่ในอาการที่เครียดจัด
“ทำไมมันถึงเฮงซวยแบบนี้นะ” สินธพกระแทกแฟ้มเอกสารลงกับโต๊ะทำงานพร้อมกับสบถออกมาด้วยความโมโห ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยืนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใช้ความคิดเนื่องจากโรงแรมของเขาขาดทุนมาหลายเดือนแล้ว โดยเขาก็พยายามปกปิดเอาไว้ แต่ตอนนี้เขาคงจะปิดเอาไว้ไม่ได้เพราะเดือนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนจ่ายเป็นเงินเดือนพนักงานเลย ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งกลุ้มใจ ยิ่งกลุ้มก็ยิ่งพาให้เครียดเขาจึงสบถออกมาอีกรอบ
“บ้าเอ๊ย! ทำไมผู้คนมันหายไปไหนกันหมด ชาวต่างชาติกระเป๋าหนักก็แทบจะไม่มี นี้มันบ้าอะไรกันเนี่ย” เขายกมือขึ้นดันหน้าต่างกระจกแล้วก้มศีรษะลงราวกับคนสิ้นหวัง แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น และเรียกความสนใจของเขาให้เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง
สินธพขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นเบอร์ของคนที่โทรมา แต่เขาก็เลี่ยงไม่ได้นอกเสียจากกดรับสาย
“สวัสดีครับคุณชวิน”
“สวัสดีครับคุณสินธพ คงทราบนะครับว่าผมโทรมาด้วยเรื่องอะไร” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและเย็นชา
“ครับ ผมทราบดีครับ แต่ผมขอพลัดผ่อนไปอีกสักนิดไม่ได้หรือครับ ตอนนี้ผมเองก็กำลังประสบปัญหาเหมือนกัน” สินธพพยายามพูดให้อีกฝ่ายเห็นใจ แต่คนต้นสายกลับหัวเราะในลำคอพร้อมกับเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ “เรื่องนี้คุณคงต้องคุยกับเจ้านายของผมเองแล้วละครับ เพราะผมไม่สามารถตัดสินใจได้”
“แล้วตอนนี่เจ้านายของคุณอยู่หรือเปล่าครับ?” บุรุษสูงวัยถามอย่างกระตือรือร้น
“ไม่อยู่ครับ คุณโจเซฟเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ คงอีก 3-4 วันกว่าจะกลับ”
“เหรอครับ” สินธพถอนใจอย่างผิดหวัง
“ถ้าคุณจะคุยก็คงต้องรอ ผมแค่โทรมาเตือนตามหน้าที่เท่านั้น อ้อ...แล้วผมก็ขอบอกเอาไว้ก่อนนะครับว่าเจ้านายของผมไม่ยอมเสียเปรียบใครง่ายๆ”
“ครับ ผมทราบดี” สินธพกำโทรศัพท์ในมือแน่น แล้วโยนลงบนโต๊ะทำงานอย่างโมโหเมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว ก่อนจะเน้นเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างเจ็บแค้นใจ “โธ่...ไอ้บ้าทวงอยู่ได้เงินแค่ 50 ล้านแค่เนี่ย คนอย่างกูไม่โกงหรอกโว้ย!” เขาเหลือบไปมองแฟ้มบนโต๊ะทำงานอีกครั้งก่อนจะเดินไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งและนึกย้อนไปถึงเมื่อ 1 ปีก่อน...ตอนนั้นโรงแรมของเขาก็ขาดทุนเหมือนตอนนี้ และมีคนในวงธุรกิจโรงแรมด้วยกันแนะนำแหล่งเงินกู้ให้กับเขา นั้นก็คือ นายโจเซฟ ฮันแมนสัน นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ สินธพรีบติดต่อไปทันทีโดยผ่านทางเพื่อนร่วมธุรกิจ และวันรุ่งขึ้นก็ได้รับข่าวดีว่าทางนายทุนอนุมัติเงินตามที่ขอโดยมีโรงแรมอนันชัยเป็นทรัพย์สินค้ำประกัน แล้วจะไม่มีการคิดดอกเบี้ย แต่การกู้ยืมก็มีกำหนดใช้คืนภายใน 1 ปี หลังจากวันที่กู้ ด้วยเงื่อนไขที่ง่ายๆและสบายๆนั้นทำให้สินธพตกลงทันทีอย่างไม่ลังเลเพราะคิดว่าในเวลาไม่ถึง 1 ปี โรงแรมของเขาก็ต้องมีความคล่องตัวขึ้นอย่างแน่นอน แล้วในช่วง 6 เดือนแรกก็เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แต่อีก 6 เดือนต่อมากลับขาดทุนติดต่อกันมาตลอด แล้วเดือนนี้ก็ครบกำหนด 1 ปีที่จะต้องใช้เงินคืน แต่ตอนนี้เงินของเขามีอยู่ไม่ถึงล้านด้วยซ้ำ
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกย้อนไปถึงเมื่อก่อนตอนที่เขามีทั้งอำนาจและเงินทอง ลูกน้องและเพื่อนฝูงก็ต่างพากันห้อมล้อม แต่พอเงินทองเริ่มหมดลงต่างก็พากันตีจาก แม้แต่ลูกน้องคนสนิทที่เป็นเหมือนมือขวาของเขาก็ทิ้งไปอยู่กับเจ้านายใหม่ที่ร่ำรวยกว่าและมีอำนาจวาสนามากกว่าเขา คิดแล้วมันก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บใจ
“หวังว่านายโจเซฟนั่นคงคุยไม่ยาก” เขาพึมพำออกมาเบาๆพร้อมกับหรี่ดวงตาลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของตนเอง
ส่วนอีกด้านภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ หลังจากที่ชวินวางสายจากสินธพแล้วก็หันมามองสบตากับ
ร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ใบหน้าคมเข้มตามแบบฉบับของลูกครึ่งคลี่ยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหยิบรูปภาพของหญิงสาวสวยตากลมโตผมยาวขึ้นมาจ้องดูและเหยียดมุมปากอย่างเยาะๆให้
“ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ฉันรอคอยเสียที ฉันรอเวลานี้มานานนับ 20 ปีทีเดียว ฮึ ฮึ หมดเวลาแห่งความสุขของพวกแกแล้ว” แววตาที่จ้องมองรูปนั้นเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความเคียดแค้นชิงชังแล้วรูปภาพหญิงสาวสวยในมือก็ถูกขย้ำทิ้งลงถังขยะเหมือนกับเศษกระดาษใบหนึ่ง
“ป่านนี้นายสินธพนั้นคงจะกระวนกระวายใจน่าดูเลยนะครับที่โรงแรมก็จะล้มละลาย แถมยังโดนทวงหนี้อีก เผลอๆเครียดจนต้องฆ่าตัวตายไปเลยก็ได้นะครับ” ชวินผู้ที่เป็นทั้งบอดี้การ์ดและคนสนิทเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก
“ฮึ ฮึ คนอย่างมันต่อให้จนตรอกมันก็ไม่ยอมฆ่าตัวตายง่ายๆหรอก” โจเซฟลุกขึ้นยืนเต็มความสูง 180 เซนติเมตรของตนเองแล้วเดินเอามือล้วงกระเป๋าออกไปยืนทอดสายตามองลงไปยังสนามหญ้าหน้าบ้านก่อนจะพูดต่อ “แต่ถึงมันจะตายไป คนที่อยู่ก็ต้องรับผลกรรมที่มันก่อเอาไว้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้” ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมันหันมากระตุกยิ้มให้กับคนสนิท ก่อนจะกัดกรามทั้งสองข้างเข้าหากัน ความแค้นที่เขามีต่อสินธพอยากที่จะมีอะไรมาลบล้างมันออกไปได้ ครอบครัวที่อบอุ่นของเขาต้องพังพินาศเพราะน้ำมือของเจ้าคนชั่วช้าคนนี้เพียงคนเดียว ชีวิตในวัยเด็กที่ควรจะสดใสกลับต้องนั่งจมอยู่กับความแค้น ต้องเปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่เพื่อปกปิดฐานะของตนเอง และทำให้ตัวเองก้าวมายืนอยู่ ณ จุดนี้ จุดที่เหนือกว่าสินธพ และตอนนี้ความประสงค์ของเขาก็กำลังจะสำเร็จ
“อาสขา อยู่นี่เอง” เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องทำงานถูกเปิดออก จากนั้นร่างบางอวบอิ่มในชุดเกาะอกสั้นรัดรูปสีครีมก็เดินยิ้มกว้างเข้าไปโอบรอบคอของชายหนุ่มแล้วโน้มลงมาหาริมฝีปากบางสีแดงสดของตนเอง ก่อนจะมีการแลกจุมพิตกันอย่างดูดดื่มโดยไม่แคร์ต่อสายตาของชายหนุ่มอีกคน ซึ่งชวินก็ชินแล้วกับภาพเหตุการณ์แบบนี้ เขาจึงเพียงแค่หันหน้าไปมองทางอื่นแทน
ครู่ต่อมาโจเซฟจึงดันร่างบางของฉัตรสุดาคู่ควงคนปัจจุบันออกห่างแล้วหันมาทางชวิน “วันนี้นายไปดูโครงการแถวสุขุมวิทให้ทีนะ มีอะไรที่เห็นไม่ถูกต้องก็จัดการได้เลย วันนี้ฉันคงไม่ว่างทั้งวัน” เขาบอกเสียงเรียบแล้วหันมายิ้มใส่ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวในอ้อมแขน
“ครับ” ชวินรับคำพร้อมกับอมยิ้มแล้วก้าวออกมาจากห้องนั่น เขาเข้าใจความหมายของคำว่าไม่ว่างทั้งวันของเจ้านายหนุ่มดี แล้วคิดว่าคืนนี้เจ้านายของเขาก็คงจะไม่กลับมานอนที่บ้านอีกเช่นเคย
ฉัตรสุดาหันมาเบียดร่างนุ่มนิ่มเข้าหาร่างสูงแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออีกครั้งหลังจากประตูห้องทำงานของชายคนรักปิดลง แล้วใช้นิ้วเขี่ยไปตามสาบเสื้ออย่างยั่วเย้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาคมอย่างเชิญชวน
“วันนี้ฉัตรอยากไปทานอาหารจีนแล้วก็ไปหาที่นั่งดื่มกันเงียบๆ ดีไหมคะ?” เธอส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้เขา ซึ่งโจเซฟก็ยิ้มตอบแล้วกดริมฝีปากหนาร้อนผ่าวลงมาหาริมฝีปากบางอีกครั้งแทนคำตอบรับ ฉัตรสุดายิ้มอย่างภาคภูมิใจที่เสน่ห์ของตัวเองมัดใจผู้ชายที่ร้อนแรงแห่งปีคนนี้เอาไว้ได้ แล้วกว่าที่ทั้งคู่จะออกมาจากห้องทำงานของชายหนุ่มก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง
ร่างบางในชุดกระโปรงพลิ้วสีขาวกับเสื้อแขนกุดสีชมพูก้าวลงจากรถยนต์ส่วนตัวพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและแปลกใจเมื่อเห็นรถยนต์ของบิดาจอดอยู่ในโรงรถ จะไม่ให้พลอยนรินทร์แปลกใจได้ยังไงก็ในเมื่อบิดาของเธอแทบจะไม่เคยกลับบ้านเลย แต่ถึงจะกลับมาก็ต้องเลยเที่ยงคืนไปแล้ว จนหญิงสาวเกือบจะลืมไปแล้วว่าบิดามีรูปร่างหน้าตายังไง ช่องว่างระหว่างเธอกับบิดาเกิดขึ้นตั้งแต่มารดาเสียชีวิตไปเพราะตรอมใจ ทนรับความเจ้าชู้และเห็นแก่ตัวของบิดาไม่ได้ และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้พลอยนรินทร์ไม่สนใจที่จะเข้าไปทำงานในโรงแรมของบิดา แต่หันมาร่วมหุ้นกับปัทรีมาเพื่อนเก่าสมัยเรียนทำร้านอาหารเพราะเธอเองก็จบทางด้านคหกรรมมา เธอกับปัทรีมาคบหากันมานานตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ จนกระทั่งเรียนจบและร่วมหุ้นกันเพื่อสร้างร้านอาหารเล็กๆ แต่ต่อมาเพื่อนสาวได้ถูกเรียกตัวกลับไปดูแลงานที่รีสอร์ทแทนบิดา ที่ร้านจึงเป็นหน้าที่ของเธอผู้เดียวที่ต้องดูแล