บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

‘มากความ ยุ่งยากยิ่งนัก!’

‘ยุ่งยากอย่างไรก็ต้องทำ นั่นหนิงเอ๋อร์นะ หรือว่าเจ้าไม่เอ็นดูนาง ไม่เห็นว่านางเป็นหลานสาวตัวเล็กของเจ้าแล้ว’

เมื่อถูกถามเช่นนี้หลี่จินหมิงก็พูดไม่ออก ใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่รู้ตัว พลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมพิธีปักปิ่น เดิมทีก็ว่าจะไม่ไปแต่พอได้ฟังวาจากระทบกระเทียบขององค์ชายรัชทายาท ว่าเขาเป็นบุรุษที่ไม่รักษาสัญญาที่ว่าจะไปเยี่ยมนางอยู่บ่อย ๆ กอปรกับมีความทุกข์ในใจ ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมพิธีโดยมิได้แจ้งตำหนักเยว่ฉีล่วงหน้า

เพียงแวบแรกที่เห็นเจ้าตัวเล็ก หลี่จินหมิงก็พลันรู้สึกว่าหัวใจห่อเหี่ยวนั้นคล้ายถูกแมวข่วนจนคันยุบยิบ เขาลอบสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียด ใบหน้าของนางอมยิ้มเล็กน้อย ดวงตาหวานซึ้งแฝงความดื้อรั้นไม่ต่างจากบิดาผู้ให้กำเนิด กลีบปากสีดอกเหมยกุ้ยมองดูอวบอิ่มและหวานฉ่ำ จมูกโด่งน่าหยิกรั้นขึ้นเล็กน้อยนั้นเป็นเพียงส่วนเดียวที่คล้ายกับมารดา

หลี่จินหมิงคาดเดาว่าผิวของนางต้องงดงามอย่างมาก เพราะทั้งตวนอ๋องและพระชายาล้วนแต่มีผิวขาว นึกไม่ถึงว่าจะประเมินเรื่องนี้ต่ำไป

เขาชะงักไปชั่วครู่ในยามที่นางยกแขนโบกมือ เผยผิวบริเวณข้อมือและแขนเรียวสวย เอ่ยเรียกชายหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะอายุราวยี่สิบปีที่อยู่ไม่ไกล ทว่าหลี่จินหมิงมิได้สนใจผู้มาใหม่ เขาถูกผิวพรรณงดงามและขาวดุจเรืองแสงได้สะกดเอาไว้ในพริบตา

หลี่จินหมิงชอบสตรีที่มีผิวพรรณดี… แต่กับเสวียนหนิงอันต้องใช้คำว่าผิวพรรณงดงามอย่างมาก

ทว่าเรื่องเหล่านี้สมควรคิดอยู่หรือ นางเป็นหลานสาวของเขามิใช่หรือ ถึงจะไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่ก็เคยอุ้มชูดูแล ถึงจะมิได้เจอกันนานกว่าห้าปี แต่ก็เคยหยอกล้อเอาอกเอาใจ การมองนางอย่างที่บุรุษลอบมองสตรีนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมโดยแท้

หลี่จินหมิงพยายามเตือนสติตนเองอยู่นาน เดินห่างจากนางให้มากที่สุด แต่ทันทีที่ดวงหน้าหวานผินมองมาและยิ้มให้กับเขา ดวงตาสองคู่สบประสานกัน ร่างกายของหลี่จินหมิงก็พลันเครียดแข็ง เลือดในกายสูบฉีดทั่วร่าง รีบสาวเท้าออกจากตำหนักเยว่ฉีและตรงเข้ารักษาความคิดอกุศลกับเหล่าสาวงามในหอหยวนเซียวทันที มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าค่ำคืนอันยาวนานนั้นเขาจินตนาการถึงใบหน้าของสตรีใด

‘ว่าอย่างไร เจ้าไม่เห็นนางเป็นหลานแล้วหรือ!’

‘ย่อมต้องเอ็นดูนางไม่ต่างจากวันวาน เอาเถิด เช่นนั้นก็ลองใช้เหตุผลที่ข้าอ้างกับพวกแม่สื่อดู’

หลี่จินหมิงให้คำตอบว่ายังรู้สึกกับนางเฉกเช่นในวันวาน พร้อมกับเล่าไปด้วยว่าเคยกล่าวความเท็จกับพวกแม่สื่อที่ตามตอแยให้เขาแต่งงานใหม่ว่าต้องการไว้ทุกข์ให้กับภรรยาและบุตรที่มิได้ลืมตามาดูโลกเป็นเวลาสามปี เขาใช้เหตุผลเดียวกันนี้มาต่อรองเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดูสมจริงมากที่สุด

เพื่อปกปิดสถานะและรักษาเกียรติของเสวียนหนิงอันแล้ว หลี่จินหมิงต้องอ้างว่าไม่สามารถจัดพิธีอันใดได้เพราะต้องรักษาเกียรติของตนเอง มิให้ผิดคำกล่าวที่ว่าต้องการไว้ทุกข์สามปีก่อนแต่งภรรยาใหม่เข้าบ้าน

เสวียนหนิงอันจำต้องยอมรับตำแหน่งภรรยาลับ กล่าวว่ายินดีรอจนกว่าเขาจะออกจากการไว้ทุกข์ ซึ่งก็คือในอีกสิบเดือนข้างหน้า ถึงเวลานั้นแล้วค่อยจัดการทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี โดยมิได้รู้เลยว่าเขาคิดใช้ช่วงเวลาสิบเดือนนี้พิสูจน์ว่านางมิได้รัก ทว่าเป็นความลุ่มหลงและอยากเอาชนะเท่านั้นเอง

‘หากข้าทำไม่สำเร็จ พ่ายแพ้ต่อเล่ห์กลของนางเล่า!’

‘เรื่องนี้ย่อมแก้ไขได้ไม่ยาก…’

ตวนอ๋องเฉินฟาหยางทำราวกับว่าการแต่งคุณหนูที่เอาแต่ใจตนเองอย่างมากมาเป็นภรรยาลับนั้นเป็นเรื่องง่าย ในขณะที่หลี่จินหมิงเองแทบไม่เห็นชัยชนะ ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับความงามที่แสนเย้ายวนด้วยแล้ว อาจเรียกได้ว่าพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังมิเริ่มต้นแผนการเลยเสียด้วยซ้ำ

“เช่นนั้นก็ต้องใจแข็งให้มาก พูดคุยให้น้อย… มองหน้าให้น้อยยิ่งกว่า”

กว่าหลี่จินหมิงจะข่มตาหลับได้ก็ยามเหม่า แล้ว

‘รักมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ’

คำถามสั้น ๆ ที่ยังตราตรึงแม้ในยามตื่นนอนทำให้เสวียนหนิงอันถึงกับต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม นางจำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น ก้มหน้ายอมรับความจริงอย่างปวดร้าว ทั้งยังจำได้อีกด้วยว่ามารดามิได้ดุด่าว่ากล่าวเหมือนทุกครั้งที่ก่อเรื่อง บนใบหน้างดงามมีเพียงความเห็นใจ มิตอกย้ำซ้ำเติมเรื่องการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่นั่นกลับทำให้นางรู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าเดิม

‘ใช้หัวใจให้มาก ใช้สมองวางแผนน้อยลงหน่อย หนิงเอ๋อร์เข้าใจที่แม่พูดหรือไม่’

‘เจ้าค่ะ ท่านแม่’

‘อย่าลืมใช้สติให้มาก เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ อดีต...แก้ไขไม่ได้ ที่ทำได้คือการมองไปข้างหน้าและทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุด แล้วทุกอย่างจะออกมาดีเอง’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel