บทที่ 5
ปัจจุบัน
ต้นยามอิ๋น แล้ว ทว่าเจ้าของร่างสูงโปร่งยังคงเดินวนไปมาราวกับแมลงตัวเล็กที่ถูกขังไว้ในถ้วยชา ครอบปิดไว้บนโต๊ะไม้สลักลายสวยงาม ไร้หนทางหลบซ่อนหลีกหนี หัวคิ้วของเขาแทบชนกัน ริมฝีปากเม้มอยู่เนือง ๆ ราวกับมีปัญหาใหญ่ที่ต้องขบคิดทำความเข้าใจ
หลี่จินหมิงยามนี้ยากจะควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่าน ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาไม่ว่าเรื่องใดก็มิสามารถทำให้เขาเปิดเผยความรู้สึกของตนได้ ความสูญเสียทำให้เขากลายเป็นบุรุษที่มีสีหน้าเรียบเฉยและหนักแน่นดุจเขาไท่ซาน แต่ทว่าสามวันที่ผ่านมาทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ
‘หึ! ไม่นึกว่าเจ้าโตมาจะเป็นสตรีเช่นนี้ สวรรค์กลั่นแกล้งข้าแล้วจริง ๆ’
เขามิแน่ใจว่า ‘ภรรยาลับ’ จะตีความหมายไปในทิศทางใด เข้าใจว่าประโยคที่หลุดจากปากเป็นเพราะความผิดหวังที่นางมีนิสัยต่างไปจากเดิม หรือมองลึกทะลุทะลวงและเห็นว่า ‘ท่านอา’ กำลังคิดถึงเรื่องผิดบาป ในยามที่เห็นดวงตาหวานซึ้งที่ซ่อนความกระวนกระวายไว้แทบมิได้
ความดื้อรั้นทว่าเย้ายวนของนางทำให้เขามิสบายใจ กลัวว่าจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับตวนอ๋องสูงศักดิ์ ถึงขั้นกล่าวโทษสวรรค์ว่ากลั่นแกล้งให้ต้องเผชิญกับความงามที่ต้านทานได้ยากยิ่ง
เสวียนหนิงอันเติบโตแล้วงดงามมากเกินไป
“ไม่ได้ เจ้าจะลืมคำพูดของตนไม่ได้!”
หลังจากถูกวางยาชีวิตของหลี่จินหมิงก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เขาจำได้ดีว่าถูกศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ทำร้ายร่างกาย ตวนอ๋องเฉินฟาหยาง กระชากคอเสื้อแทบขาด ก่อนเหวี่ยงหมัดที่หนักไม่ต่างจากวันวานกระแทกกับโหนกแก้มเต็มแรง ชั่วพริบตานั้นเองที่หลี่จินหมิงฟื้นคืนสติราวแปดส่วน อีกสองส่วนยังมึนงงเพราะหมัดที่คุ้นเคย แม้ปากอยากถามว่าหาวิธีแก้ไขที่ดีกว่าการใช้กำลังมิได้แล้วหรือ แต่พอเห็นร่างบอบบางสวมเพียงเสื้อตัวในนั่งหันหลังร้องไห้สะอึกสะอื้นกับมารดาอยู่มิไกล เขาจึงเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที
หลี่จินหมิงถูกเจ้าตัวเล็กเล่นงานเสียแล้ว!
หลังจากทบทวนอยู่ชั่วขณะ เขาก็บอกกับตวนอ๋องเฉินฟาหยางว่ามิได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ทั้งยังเรียกร้องให้ตามหมอหลวงมาตรวจดูร่างกาย ทว่าเสียงหัวเราะและคำตอบที่เย็นชากลับทำให้เขาต้องประหลาดใจ
‘ข้ารู้ว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น’
‘แล้วเหตุใดท่านจึงต่อยข้าเล่า!’
‘เพราะเจ้ามันโง่งม! รู้อยู่แก่ใจดีว่านางรู้สึกกับเจ้าเช่นไร นางมากเล่ห์แสนกลมากมายเพียงใด แล้วไยยังไม่รู้จักระมัดระวัง ปล่อยให้ตนเองตกหลุมพรางนางได้อีกเล่า!’
หลี่จินหมิงถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ที่แท้ศิษย์พี่ลงมือเพราะเขามิรู้จักระวังตัว แต่เรื่องนี้จะโทษเขาฝ่ายเดียวได้อยู่หรือ มิใช่ว่าเสวียนหนิงอันนิสัยเจ้าเล่ห์มากแผนการเหมือนบิดาของนางหรอกหรือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว หลี่จินหมิงจึงไม่คิดอีก
ต่อให้มิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วอย่างไร นางเป็นสตรีย่อมมิอาจชิดใกล้กับบุรุษ แม้มั่นใจว่าไม่มีเรื่องเกินเลย แต่เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของเขานั้นไม่เรียบร้อย ตัวนางเองก็ไม่เรียบร้อย
ทว่าทุกอย่างกลับเรียบร้อยสมใจเสวียนหนิงอัน
ตวนอ๋องเหยียดยิ้มไม่น่ามอง กล่าวโทษว่านางกลายเป็นสตรีที่เอาแต่ใจเช่นนี้ก็เพราะในวัยเด็กถูกตามใจมากไป หลี่จินหมิงหลับตาคิดภาพตาม พบว่ามีความเป็นไปได้ว่านางเป็นเช่นนี้เพราะเขาคือตัวต้นเหตุ
หากเขารู้จักดุด่าหรือว่ากล่าวตักเตือนนางบ้าง ยามนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งกังวลเพราะถูกลวงให้ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ
‘ต้องปราบนางให้หายดื้อ แน่นอนว่าเจ้าต้องร่วมมือด้วย’
‘ท่านจะให้ข้าทำเรื่องชั่วช้าอันใดอีก’
ข้อเสนอของตวนอ๋องฟังดูแล้วมิใช่เรื่องลำบาก เพียงต้องทำให้นางตระหนักได้ว่าความรู้สึกที่มีนั้นเป็นเพียงความลุ่มหลงและต้องการเอาชนะ หาใช่ความรักลึกซึ้งแต่อย่างใดไม่ หลี่จินหมิงเห็นด้วยว่าสมควรให้บทเรียนสำคัญแก่นาง จึงยอมทำตามคำขอร้องที่แฝงการบังคับถึงเก้าส่วนของตวนอ๋องอย่างเต็มใจ
เต็มใจอยู่กระมัง?
เขาคิดว่าการกดดันคุณหนูที่มิเคยสัมผัสกับความลำบากมาก่อนให้ยอมแพ้นั้นเป็นเรื่องง่าย จึงยอมลงนามในหนังสือสัญญาของตวนอ๋อง เนื้อความในหนังสือฉบับนั้นสั้นกระชับ มีใจความว่าหากนางเข้าใจความรู้สึกของตนเองแล้วว่ามิได้รักใคร่ในเชิงชู้สาวก็ค่อยอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างชัด
‘เป็นเพราะข้าตามใจนางมากไป…’
‘เรื่องเก่าไม่ต้องพูดแล้ว การแต่งงานในครั้งนี้ให้ถือว่าเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง หากนางตระหนักได้ว่าตนมิได้รักใคร่ไยดีกับเจ้าจริง ยามนั้นค่อยเฉลยทุกอย่างต่อนาง’
‘เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านเลี้ยงดูนางมิเคยให้ลำบาก ย่อมกลั่นแกล้งได้อย่างง่ายดาย’
‘เจ้าอย่าประมาทนางจนเกินไป หนิงเอ๋อร์อยากได้อันใดก็มิเคยพลาด เรียกได้ว่าไม่เคยยอมแพ้ ทั้งยังชอบแสดงละคร กล่าวถ้อยคำบิดเบือนโกหก…’ เขาจำได้ว่าตวนอ๋องเฉินฟาหยางกระแอมเบา ๆ เพราะตนเองก็เคยโกหกมามาก ‘หากเจ้าไม่รักบุตรสาวข้าก็อย่าให้ความหวังนางว่ารักใคร่ ห้ามผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งทั้งทางกายและทางใจ’
