บทที่ 29
เรื่องยากที่สุดในชีวิตของหลี่จินหมิงคงมิพ้นการทำใจแข็งไม่พูดคุยกับคนที่ตนห่วงใยอย่างมาก ยิ่งคนที่เขามีใจพะวงถึงอยู่เสมอคือภรรยาลับคนงามนามเสวียนหนิงอัน เขาก็ยิ่งสับสนจนรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวช่างน่ารำคาญ
แม้จะขุ่นเคืองเรื่องที่นางไม่เชื่อฟังคำสั่งและหนีออกจากบ้าน แต่ก็ยังกังวลว่านางจะคิดมาก อาจไม่สบายใจถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาจึงอยากอธิบายว่ามิได้โกรธเคืองเท่ากับวันแรกที่นางก่อปัญหาแล้ว แต่การทำเช่นนั้นอาจส่งผลให้เจ้าตัวเล็กเอาแต่ใจเสียยิ่งกว่าเก่า สามวันที่ผ่านมาในช่วงเช้าที่นางยืนรอขอโทษอยู่หน้าเรือน หลี่จินหมิงจึงปิดปากเงียบไม่พูดอันใด
เขาห่วงใยนาง แต่การให้บทเรียนก็เป็นเรื่องสำคัญ
หลังจากตรวจดูงานในร้านซิงเยียนเรียบร้อยแล้วหลี่จินหมิงจึงเดินเท้ากลับบ้าน ความจริงเขาจะใช้รถม้าก็ย่อมได้ แต่ช่วงนี้อากาศดีจึงเลือกเดินออกกำลังเพิ่มเติมจากที่ทำแค่วันละครึ่งชั่วยามในปลายยามเหม่า
หากเรื่องราวไม่เป็นไปตามแผน อย่างน้อยร่างกายของเขาก็ยังแข็งแรงมากพอที่จะอยู่รับมือนางไปนาน ๆ
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อหลี่จินหมิงก็กลับถึงบ้าน เขาเข้าไปในห้องหนังสือและวางสมุดบัญชีไว้บนโต๊ะเฉกเช่นทุก ๆ วันที่ผ่านมา ทว่าวันนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป
พู่กันบนโต๊ะครึ่งหนึ่งสะอาดสะอ้าน มิต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
ภาพเลือนรางปรากฏในความทรงจำทำให้หลี่จินหมิงเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง ยามนั้นเสวียนหนิงอันตัวเล็กอย่างมาก ร่ำร้องว่าจะทำความสะอาดพู่กันของเขาให้ได้ เขาบอกว่าไม่อนุญาต นางจึงแอบมาทำในยามเผลอ สุดท้ายก็ทำพู่กันขนกระต่ายพัง นอกจากขนหลุดเกือบหมดแล้ว ด้ามจับพู่กันที่ทำจากหยกยังมีรอยกะเทาะชัดเจน
ยามนั้นขอบตานางแดงก่ำ เขาจึงไม่กล้าดุแม้แต่คำเดียว
“ผิดที่ข้ามิเคยดุเจ้าด้วยกระมัง…” หลี่จินหมิงบ่นพึมพำก่อนเดินไปยังตั่งไม้ เขายิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าในอ่างน้ำมีกลีบดอกไม้ที่ชอบลอยอยู่
กลีบดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวนใจยิ่งนัก
สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ทำให้วันอันเหนื่อยยากและน่าเบื่อหน่ายของหลี่จินหมิงน่าสนใจขึ้นมาก เขาล้างหน้าและล้างมือจนสะอาด หย่อนตัวนั่งบนตั่งไม้ตัวโปรด ทว่าความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างที่อยู่บนโต๊ะขนาดเล็กทำให้เขานิ่วหน้าอย่างไม่พอใจนัก
กาน้ำชายังเหมือนเดิม แต่ในจานใบเล็กมีขนมเพียงชิ้นเดียว
เขาเรียกสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเข้ามาเพื่อสอบถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ปรากฏว่าคำตอบที่ได้ทำให้มิรู้ว่าควรต้องทำหน้าอย่างไรดี
“ฮูหยินน้อยให้พูดว่ากินข้าวไม่ค่อยได้ จึงกินขนมของนายท่านหมดเจ้าค่ะ” เสี่ยวหยุนได้ยินเสียงเรียกก็รีบเข้ามา ลืมสนิทว่านางควรอยู่ดูแลผู้ใด
“นางกินข้าวไม่ได้จริงหรือ?” หลี่จินหมิงถามอย่างไม่สบายใจ
“ความจริงกินได้ปกติเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินน้อยให้อ้างเช่นนั้นเพราะไม่อยากให้นายท่านกินขนมเยอะเกินไป น้ำชาก็มิอยากให้เข้มมากเกินไปด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหยุนคนซื่อรายงานอย่างละเอียด ทำให้เสวียนหนิงอันที่แอบอยู่บริเวณหน้าต่างตกใจจนถึงกับอุทานออกมาเบา ๆ
หลี่จินหมิงจับได้ทันที แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่ากำลังถูกแอบฟัง
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางจึงมิยอมให้ข้ากินขนมหวาน”
“เสี่ยวหยุนไม่ทราบจริง ๆ เจ้าค่ะ”
เมื่อตระหนักได้ว่าถามอันใดไปก็คงมิได้ความ หลี่จินหมิงจึงแตะนิ้วเรียวลงบนริมฝีปากของตนเป็นเชิงว่ามิให้เสี่ยวหยุนส่งเสียง ก่อนโบกมือไล่นางออกจากห้องหนังสือ ในขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ ย่องไปยังหน้าต่างที่มีเงาร่างของสตรียืนอยู่ เขารอจนกระทั่งเสี่ยวหยุนปิดประตู จึงผลักหน้าต่างเปิดออกเต็มแรง
“โอ๊ย!” เสียงหน้าต่างกระทบกับของบางอย่างดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องไม่เบานัก ทำให้หลี่จินหมิงแทบหัวใจวายในชั่วพริบตานั้นเลยทีเดียว
“หนิงเอ๋อร์!” เขาลืมนึกไปว่าหน้าต่างอาจกระแทกนางได้ ยามนี้ทำพลาดไปแล้วจึงร้อนรน รีบวิ่งออกไปด้านนอก ในใจภาวนามิให้นางเจ็บถึงขั้นเลือดออก เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาคงเกลียดตนเองอย่างมากเป็นแน่
“ท่านอา…” เสวียนหนิงอันนั่งอยู่กับพื้นพลางลูบหน้าผากของตนเองเบา ๆ ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำสีใสคลออยู่ บอกชัดว่าเจ็บปวดเกินบรรยาย
“อาขอโทษ ไม่นึกว่าเจ้าจะยืนใกล้หน้าต่าง แล้วเจ็บมากหรือไม่”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ เป็นข้าไม่ดีเองที่มาแอบดู… หนิงเอ๋อร์ขอโทษท่านอาที่เสียมารยาทนะเจ้าคะ”
หากเป็นเสวียนหนิงอันที่รู้จักเมื่อเดือนก่อนย่อมมีกิริยาที่ไม่น่ามอง วาจาไม่รื่นหู ทว่ายามนี้นางกลับยอมรับความผิดและกล่าวคำขอโทษโดยไม่รอช้า ที่ร้ายกาจกว่านั้นมากคือนางยิ้มกว้างสดใส ราวกับหน้าผากเนียนมิได้บวมปูดจนน่าเวทนา
“ไม่เป็นไรที่ใดกัน หน้าผากบวมปูดเช่นนี้คงต้องพึ่งยาแล้ว”
หลี่จินหมิงพยายามจดจ้องแค่หน้าผากของนาง ในขณะเดียวกันก็นึกชิงชังตนเองยิ่งนักที่ทนเห็นนางยิ้มเช่นนี้ไม่ได้ แค่เสวียนหนิงอันอมยิ้มเล็กน้อยก็แทบทำใจมองมิได้แล้ว นับประสาอะไรกับรอยยิ้มกระชากวิญญาณที่นางมิเคยยิ้มให้เขาได้เห็นมาก่อน
ไม่ถูกต้องนัก…
หลี่จินหมิงเห็นนางยิ้มเช่นนี้ในวันปักปิ่น วันที่เขาออกจากงานอย่างเสียมารยาทเพื่อบรรเทาความพลุ่งพล่านในหอหยวนเซียว
“ลุกขึ้นได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ” ทว่าท่าทางทุลักทุเลของสาวงามทำให้หลี่จินหมิงทนมองไม่ได้ พอนางลุกขึ้นแล้วออกเดินได้ก้าวหนึ่งก็เซเล็กน้อย เขาจึงสอดแขนอุ้มนางกลับเข้าห้องหนังสือทันที
