บทที่ 19
“ให้เจียอีดูแล…” เสวียนหนิงอันไม่อยากอยู่ใกล้เขาแล้วจึงรีบปฏิเสธ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเฉไฉไปเรื่องอื่นอีกจนได้
“ข้าหิวแล้ว เจ้าหิวหรือไม่”
“นี่ท่าน! เหตุใดจึงเปลี่ยนเรื่องไปมา! ข้าไม่อยากคุยกับท่านแล้ว!”
“หนิงเอ๋อร์…” หลี่จินหมิงคว้าแขนข้างที่ไม่เจ็บของนางเอาไว้ ก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม “เจ้าโกรธที่ข้าไม่อยู่รอทักทายในวันปักปิ่น แล้วเหตุใดจึงไม่พูดให้เข้าใจกันตั้งแต่แรกเล่า”
หลี่จินหมิงไม่ทราบว่านางเป็นพวกกล้าโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก มีเรื่องอันใดก็เก็บเอาไว้ในใจ น้อยครั้งที่จะกล้าระบายอารมณ์ออกมา ทั้งยังเป็นคนดื้อเงียบ เมื่อเขาถามออกไปเช่นนั้นนางก็หน้าแดงเสียยิ่งกว่าเก่า สายตาก้มมองต่ำ สองมือบีบเข้าหากันแน่น แสดงทีท่าบอกชัดว่าไม่ต้องการพูดอะไร
“ข้าไม่ค่อยได้ออกนอกบ้านหลังจากสูญเสียภรรยากับลูก เวลาล้วนหมดไปกับการทำงาน ดูแลกิจการสกุลหลี่ให้เจริญก้าวหน้า แต่วันปักปิ่นของเจ้าข้ารู้สึกว่าสมควรต้องไป” หลี่จินหมิงคิดเช่นนั้นจริง ๆ วันสำคัญของเจ้าตัวเล็กเขาจะไม่ไปได้อย่างไร
“แต่พอไปแล้วกลับรู้สึกอึดอัดยามเห็นผู้คนรอบตัวหัวเราะมีความสุข จึงตระหนักได้ว่ายังทำใจมิค่อยได้ และเกรงว่าความเสียใจของตนจะทำให้บรรยากาศในงานย่ำแย่ ข้าจึงมิได้อยู่รอทักทายเจ้า”
เรื่องนี้หลี่จินหมิงโกหกอย่างไร้ยางอายเป็นที่สุด เขาพอทำใจได้แล้ว เพียงแต่ใจของเขามันคิดอกุศลมากเกินไปก็เท่านั้น!
“เช่นนั้นข้าไม่โกรธท่านเรื่องนี้แล้วก็ได้” เสวียนหนิงอันเห็นใบหน้าเศร้าหมองของเขาก็ใจอ่อนลงถึงหกส่วน “ท่านอาพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าขอตัว”
“ไม่โกรธเรื่องนี้แล้วก็ได้… หรือว่ายังมีเรื่องอื่นที่ไม่พอใจ จริงสิ! หลายวันก่อนข้าพูดจาไม่ดี กล่าวหาว่าเจ้าใช้มารยาคิดร้องขอให้ข้าหลับนอนด้วย”
หลี่จินหมิงพลันรู้สึกว่าตนหน้าด้านยิ่งนักที่กล่าวเรื่องนี้ออกมาตรง ๆ แต่ความตรงไปตรงมานี้เองที่ทำให้นางอับอายจนใบหูแดงดุจผลผิงกั่ว พวงแก้มน่าสัมผัสนั่นก็เช่นกัน
อา… คิดถึงเรื่องอกุศลอีกแล้ว!
“เรื่องนี้ข้าผิดจริง แต่เจ้าจะโทษข้าฝ่ายเดียวมิได้ เป็นเจ้าที่วางแผนลวงข้ามาแต่งงานด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม บังคับใจข้าให้รับผิดชอบ…”
“หนิงเอ๋อร์ทราบดีว่าทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ยามนั้นหวาดกลัวว่าจะถูกท่านพ่อบังคับให้หมั้นหมายกับบุรุษแปลกหน้า จึงวางแผนน่ารังเกียจเพื่อให้ได้แต่งกับท่าน… ท่านอา เรื่องนี้ข้าไม่ดีเอง ท่านจะดุด่าอย่างไรก็ย่อมได้ ข้ายอมรับได้ทุกอย่าง แต่ขอร้องว่าอย่ากล่าวโทษท่านพ่อได้หรือไม่”
เสวียนหนิงอันเงยหน้าสบประสานสายตาสามี ขอบตาของนางแดงก่ำ ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“หนิงเอ๋อร์… ที่แท้เจ้าไม่พอใจเรื่องนี้”
“ไม่ได้ไม่พอใจ แต่เสียใจเกินทน” นางสูดจมูกเพื่อมิให้ตนเองหลุดร้องไห้ “ท่านจะทำไม่ดีกับข้าอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องนี้ท่านพ่อไม่ผิด ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่ข้าทำ ทั้งยังไม่เคยสอนให้ข้าวางแผนร้ายกาจเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ… หนิงเอ๋อร์ขอร้องท่านอา รบกวนไม่กล่าวกระทบกระเทียบบิดาของข้าจะได้หรือไม่”
เสวียนหนิงอันอึดอัดกับเรื่องนี้มาหลายวัน พอได้ระบายออกมาก็ถึงกับน้ำเสียงสั่นเครือน่าสงสาร ทำให้คนที่ฟังอยู่รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกบีบรัดจนเลือดออก
“หนิงเอ๋อร์อย่าร้องไห้ เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดเอง ที่ผ่านมาเคยพูดจาไม่ดีกับพ่อของเจ้าบ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัย ข้าว่าเขาเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด เขาก็ด่าว่าข้าโง่งมที่หลงกล โต้เถียงกันเช่นนี้จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เจ้าเป็นบุตรสาวฟังแล้วย่อมไม่สบายใจ… หนิงเอ๋อร์ เรื่องนี้ท่านอาของเจ้าขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หนิงเอ๋อร์ไม่เสียใจแล้วได้หรือไม่”
หลี่จินหมิงจับสองมือเล็กของภรรยาลับมากุมไว้และเมื่อเห็นว่านางยังไม่ยอมพูด จึงเปลี่ยนไปหยิกแก้มนุ่มทั้งสองข้างด้วยน้ำหนักที่ไม่เบานัก เสวียนหนิงอันถูกกลั่นแกล้งเช่นนั้นก็ถึงกับโวยวายออกมาทั้งน้ำตา
“ท่านอา! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าหยิกแก้มข้า!”
“เอาเถิด ร้องไห้เพราะโกรธก็ยังดีกว่าร้องไห้เพราะเสียใจ”
“เรื่องนี้ข้าโกรธท่านนานแน่!”
เสวียนหนิงอันผลักอกเขาเต็มแรง ก่อนวิ่งหนีออกจากเรือนใหญ่ทั้งน้ำตา ทิ้งให้บุรุษที่บอกกับตนเองว่าจะฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน ทำให้นางตัดใจจากเขาให้ได้ ยืนหัวเราะเยาะตนเองตามลำพัง
หลี่จินหมิงมิเข้าใจว่าเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
