บทที่ 18
หลี่จินหมิงจำได้ว่าเจ้าตัวเล็กในวัยเด็กซุกซนอย่างมาก นางเคยแอบปีนต้นไม้ในสวนและลงมาเองไม่ได้ กว่าสาวใช้จะเจอก็ผ่านไปเกือบสองเค่อ หลังจากนั้นนางจึงกลัวความสูงมาโดยตลอด
“ไม่… ไม่เคยเจ้าค่ะ”
“อีกอย่างความสูงเพียงเท่านี้ ตกลงไปก็ไม่เจ็บหรอก”
หลี่จินหมิงก้าวขายาว ๆ เขาทราบแล้วว่าแผลของนางอยู่บนไหล่เนียนใต้ร่มผ้า จึงควรหาสถานที่ที่มิดชิดเพื่อทำความสะอาดแล้วค่อยทายา ทว่าเรือนของนางอยู่ไกลเกินไป
“ท่านอา เรือนข้าไปทางนั้น”
“ไกลเกินไป…”
หลี่จินหมิงกระชับร่างบางในอ้อมแขนแน่น ก่อนเดินตรงไปยังเรือนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านสกุลหลี่
เสวียนหนิงอันขอให้เขาปล่อยนางถึงสามครั้งสามครา ทว่าบุรุษผู้นี้กลับไม่มีหนังไม่มีหน้า เขาไม่สนใจคำกระซิบกระซาบของเหล่าสาวใช้ กระทั่งพ่อครัวอย่างติงหรงก็มิได้อยู่ในสายตา นางจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ จนกระทั่งถูกวางบนตั่งไม้ในห้องหนังสือแล้วก็ยังไม่เอ่ยอันใดออกไป
คนประเภทนี้เถียงด้วยก็ไม่ชนะ เอาความจริงใจเข้าแลกเปลี่ยนก็ไม่ชนะ แม้ถอดใจไม่อยากพบหน้าแล้ว นางก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงเขาได้อยู่ดี
“รออยู่ตรงนี้ก่อน” หลี่จินหมิงรับกล่องยาจากเจียอีที่ตามมาไม่ห่าง ก่อนปิดประตูลงกลอน ป้องกันมิให้ผู้ใดเข้ามารบกวนขณะทำธุระสำคัญ
“เจ็บมากหรือไม่” เขาถามขณะหย่อนตัวนั่งข้าง ๆ มือใหญ่เปิดกล่องสำรวจดูว่ามียาอันใดใช้การได้บ้าง
“หากพูดว่าไม่เจ็บ ท่านอาจะยอมปล่อยข้ากลับเรือนหรือไม่”
“ไม่ปล่อย ต้องทายาให้เรียบร้อยเสียก่อน”
“แผลของข้าอยู่บริเวณต้นแขน ควรเรียกเจียอีเข้ามาช่วย…”
“แต่ข้ามือเบากว่ามาก หรือว่าหนิงเอ๋อร์…จำไม่ได้แล้ว”
หลี่จินหมิงทราบดีว่าคนเจ็บมักดื้อรั้น ยิ่งคนที่เจ็บคือบุตรสาวของ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางที่ไม่เคยมีผู้ใดขัดใจได้ด้วยแล้ว ความดื้อรั้นก็น่าจะอยู่ในระดับที่รับมือยาก นึกไม่ถึงว่านางจะทำเพียงผินหน้ามองไปทางอื่น ก่อนค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างช้า ๆ แต่กระนั้นเนื้อผ้าก็ยังเสียดสีกับแผลจนนางเผลอสูดปากออกมาเบา ๆ
“แผลเล็กมาก แต่ไม่แน่ใจว่าลึกหรือไม่”
“ขี้ผึ้งอยู่ในตลับทองเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันยังคงไม่หันมามองหน้าคนใจร้าย “ทายาเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะได้กลับเรือนเสียที”
“เช่นนั้นก็ทนเจ็บสักนิดเถิด” หลี่จินหมิงปลอบใจสาวงาม ก่อนใช้นิ้วเรียวปาดขี้ผึ้งจากตลับทองและป้ายบนแผลพุพองที่ถูกสะเก็ดไฟอย่างเบามือ แต่กระนั้นนางก็ยังสะดุ้งอยู่ดี
เรือนร่างบอบบางไหวสะท้านเพราะขี้ผึ้งที่สัมผัสกับผิวนั้นให้ความรู้สึกเย็นจัดราวกับน้ำแข็ง มือที่รั้งเสื้อให้อยู่เหนือแผลกระตุกเล็กน้อย นางอยากหันไปตัดพ้อต่อว่าเขาสักหลายประโยค ทว่าลมอุ่นร้อนที่เป่าลงมาบนต้นแขนกลับทำให้นางพูดอันใดไม่ออก
ใกล้...ใกล้มากเกินไปแล้ว
“ขี้ผึ้งที่มีฤทธิ์เย็นขนาดนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าได้มาจากที่ใดหรือ”
หลี่จินหมิงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหลังจากเป่าแผลของนาง ทำเอาหัวใจคนฟังเต้นระรัว
“ได้มาจากท่านพี่อวิ๋นฝูเจ้าค่ะ ท่านพี่บอกว่าเป็นยาดี มีส่วนผสมของสมุนไพรชั้นเลิศหลายชนิด ช่วยสมานแผลได้ในเจ็ดวัน ไม่ทิ้งร่องรอยให้รำคาญตาเจ้าค่ะ”
“ยาจากวังหลวง องค์ชายรัชทายาทคงโปรดเจ้ามากสินะ” หลี่จินหมิงเกลียดน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจของตนยิ่งนัก
“เป็นของที่ได้มาในวันปักปิ่นเจ้าค่ะ ตัวท่านพี่อวิ๋นฝูมาไม่ได้แต่ก็ยังส่งของมา มิใช่ว่าตัวมาได้ แต่กลับหนีหน้าไม่ยอมทักทาย”
“ที่แท้เจ้าโกรธเรื่องนี้…” หลี่จินหมิงนึกไม่ถึงว่านางจะนำเรื่องนี้มาใส่ใจ
“ทายาเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่ควรรบกวนเวลาของท่านอีก”
เสวียนหนิงอันตัดบท ไม่ต้องการเปิดเผยความรู้สึกของตนเกินความจำเป็น ส่วนหลี่จินหมิงที่ตระหนักได้แล้วว่าตนมีความผิดก็ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เรื่องที่ผลุนผลันออกจากพิธีปักปิ่นของนางก่อนเวลานั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ในยามนั้นสมองของเขาคิดแต่เรื่องอกุศล หากอยู่ต่อคงต้องหลุดเปิดเผยความคิดชั่วร้ายของตนแน่ และในเมื่อการเล่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เขาต้องออกจากตำหนักเยว่ฉีนั้นไม่สามารถทำได้ หลี่จินหมิงจึงตัดสินใจแสร้งทำหูทวนลมและเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างหน้ามิอาย
“ขี้ผึ้งนี่ต้องทาบ่อยเพียงใดหรือ”
“ก่อนนอนและหลังตื่นนอนเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย ตั้งใจว่าจะกลับเรือน ทว่าข้อเสนอของเขากลับทำให้นางต้องประหลาดใจ
“เช่นนั้นข้าจะเป็นคนดูแลแผลเจ้าเอง”
