บทที่ 14
ยามถูกบิดาว่ากล่าวตักเตือนเสวียนหนิงอันมักหนีไปกอดมารดาอย่างเงียบ ๆ ไม่ต่อความยืดยาวเพราะทราบดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด แทบทุกครั้งนางเอนตัวนอนนิ่งเฉยข้างมารดาหลายชั่วยาม พิจารณาว่าเหตุใดจึงทำผิด สำนึกได้แล้วจริงหรือไม่ ควรทำอย่างไรเพื่อบรรเทาโทษของตนเอง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิได้ตามใจบุตรสาวอย่างที่คนร่ำลือ หลายครั้งถึงขั้นกักบริเวณและไม่พูดด้วยนานกว่าเจ็ดวัน แต่กระนั้นนางกลับไม่นึกกังวลเพราะทราบดีว่าบิดารักตนมาก อย่างไรก็ต้องได้รับการให้อภัยอย่างแน่นอน
เสวียนหนิงอันเคยคิดว่าท่านพ่อคงไม่รู้สึกอันใดมากเพราะเป็นฝ่ายเลือกที่จะไม่พูดกับนางเอง แต่พอพบเจอกับสถานการณ์เดียวกัน โกรธเคืองคนที่ตนรักจนไม่อยากสนทนาด้วย เสวียนหนิงอันจึงเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมานางไม่ใช่บุตรสาวที่ว่านอนสอนง่ายสักเท่าใดนัก
‘ท่านพ่อคงเหนื่อยใจมากเป็นแน่’
ยามนั้นนางไม่รู้สึกว่าการถูกลงโทษเป็นเรื่องร้ายแรง ทำเพียงรออย่างใจเย็นสักสามวันแล้วค่อยเข้าไปคุกเข่าขอรับโทษ ร่ายความผิดของตนให้ฟังและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หลังจากนั้นตวนอ๋องผู้เป็นบิดาก็จะเผยรอยยิ้มเพียงเล็กน้อย โคลงศีรษะอย่างไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก่อนโบกมือให้นางกลับไปพักผ่อน ทำตัวปกติตามเดิม
‘เพราะพ่อไม่ดีเอง ไม่ได้อยู่ดูแลเจ้าตั้งแต่แรก’
เสวียนหนิงอันเฉลียวฉลาดและมีความจำเป็นเลิศ เรื่องที่บิดาและมารดามีเรื่องไม่เข้าใจกัน แยกจากนานหลายปีก่อนจะกลับมารักกันดังเดิมนางจำได้ดีเยี่ยม แม้ไม่รู้รายละเอียดชัดเจน แต่ก็รู้ว่าที่บิดาเข้มงวดกับนางมากเป็นพิเศษเพราะต้องการให้บุตรสาวที่มิได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่แรกเกิดเติบโตไปเป็นสตรีที่ดี
‘สุดท้ายข้าก็ทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวัง คนใจร้ายผู้นั้นด่าว่าข้าไม่เป็นไร แต่นี่เขากลับกล่าวกระทบถึงท่านด้วย’
เสวียนหนิงอันโกรธบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางอย่างมาก จากที่ตั้งใจว่าจะยอมทุกอย่าง เอาความจริงใจเข้าสู้ แต่พอได้ยินเขาดูถูกบิดาก็ถึงกับทนมิได้ น้อยใจกว่ายามที่ตนถูกด่าพันเท่าทวีคูณ
แต่กระนั้นนางก็ยังคิดถึงเขา...
อยากพูดคุยด้วยใจแทบขาด แต่ก็ต้องข่มความต้องการเพื่อสั่งสอนคนที่กระทำความผิดให้ตระหนักรู้ว่าเหตุใดจึงถูกลงโทษ ว่าแต่คนที่นางต้องการลงโทษจะใส่ใจสำนึกผิดหรือไม่?
“อ๊ะ!” เสวียนหนิงอันยืนชมสวนดอกเหมยกุ้ยอยู่พลันเซไปครึ่งก้าว สาวใช้เจียอีที่ยืนอยู่ไม่ห่างจึงตรงเข้ามาประคองทันที
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว ฮูหยินน้อยกลับเข้าเรือนเถิดนะเจ้าคะ”
เจียอีกล่าวกับนายหญิงคนใหม่อย่างนอบน้อม ในวันนั้นนางเฝ้ารออยู่หน้าเรือนเล็กเผื่อว่าฮูหยินน้อยต้องการเรียกใช้ จึงได้ยินบทสนทนาแทบทุกประโยค ความจริงที่ว่าฮูหยินน้อยมิใช่บุตรสาวของพ่อค้าก็เช่นกัน
“ข้าเบื่อ ไม่อยากอยู่ในเรือน” เสวียนหนิงอันพ่นลมหายใจยาวเมื่อเห็นท่าทางสุภาพเกินกว่าเหตุของเจียอี
“บอกว่าให้ทำตัวเช่นเดิม บิดาของข้าเป็นใครหาสำคัญไม่ สำคัญว่าข้าในวันนี้คือภรรยาของผู้ใดต่างหาก”
“โธ่! ฮูหยินน้อยเจ้าคะ มีใครในเมืองหลวงไม่รู้บ้างว่าท่านอ๋องมีอิทธิพลมากเพียงใด องค์ฮ่องเต้รักใคร่ราวกับพี่น้องร่วมอุทร ส่วนองค์ชายรัชทายาทก็เกรงพระทัยท่านอ๋องยิ่งนัก”
“คนก็พูดไปอย่างนั้นเอง พี่อวิ๋นฝู… เอ่อ องค์ชายรัชทายาทเกรงพระทัยที่ใดกัน ส่งงานให้ท่านพ่อข้าช่วยทำอยู่เรื่อย ๆ เอาเถิด ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หากเจ้าทำตัวปกติไม่ได้ก็ไม่ต้องมาดูแลข้า” เสวียนหนิงอันตัดบท เตรียมกลับเข้าเรือนที่เปรียบได้ดั่งที่จองจำอิสรภาพ แต่ก้าวขาได้เพียงสิบก้าวก็ต้องหยุดพักหอบหายใจ
เสวียนหนิงอันนอนหลับไม่สนิทสามวันแล้ว
“ฮูหยินน้อยอย่าเดินเร็วสิเจ้าคะ!” ความตกใจทำให้เจียอีมิสนใจเรื่องมารยาทอีก
“เสียงดังฉะฉานเช่นนี้ค่อยสมเป็นเจียอี สงสัยข้าต้องหน้ามืดให้บ่อย เจ้าจึงจะกลับมาสนิทสนมกับข้าเหมือนที่ผ่านมา”
เสวียนหนิงอันมองดูสาวใช้ของนางทำหน้ากระเง้ากระงอดอย่างเอ็นดู แต่ยังมิทันได้กลับเรือนเล็กอย่างที่ตั้งใจไว้ ซุนหยาก็เข้ามาแจ้งนางด้วยเรื่องเดิม ๆ ที่ได้ยินมาสามวันแล้ว
“นายท่านเชิญฮูหยินน้อยไปพบเจ้าค่ะ แต่บอกด้วยว่าหากไม่สะดวกก็มิเป็นไรเจ้าค่ะ”
“บอกเขาไปว่าข้าไม่สะดวก” ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายผิดก็ควรมาขอโทษนางเองมิใช่หรือ
“แต่นายท่านเชิญฮูหยินน้อยถึงแปดครั้งแล้วนะเจ้าคะ มีเรื่องไม่พอใจอันใดก็ควรคุยกัน มิใช่หลบหน้า ปล่อยให้ปัญหาค้างคาเช่นนี้” ซุนหยาอดตำหนิมิได้
“นายท่านใจร้ายกับฮูหยินน้อยมาก ท่านป้าไม่รู้ก็อย่าเพิ่งพูดเลย” เจียอีสอดปากปกป้องนายหญิงของตนสุดกำลัง
“เจียอี!” ซุนหยาตวาด
“จริง ๆ นะเจ้าคะท่านป้า นายท่านพูดไม่ดีจนฮูหยินน้อยร้องไห้ทั้งคืน”
“เจียอี เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” เสวียนหนิงอันตัดบทรวดเร็วดียิ่ง “ท่านป้าไปแจ้งเขาเถิดว่าข้าไม่ไป”
