บทย่อ
เธอผิดเองที่เลือกทางเดินโง่ ๆ นี่ พิมพ์นาราทรุดตัวอยู่กับพื้นอยู่ตรงหลังประตูบ้าน ตรงที่ที่กวีวัธน์เพิ่งจะเดินออกไป เป็นอีกครั้งที่คำขอร้องของเธอถูกเขาเมินเฉย เธอเริ่มคุ้นชินกับความรู้สึกเช่นนี้แล้ว ถ้าในเมื่อทั้งคุณกวีและคุณขนมยังรักกันอยู่ เขาจะมีเธอเอาไว้ทำไมกันนะ คนตัวเล็กได้แต่คิดในใจ ถ้าเขารักและเป็นห่วงกันขนาดนี้ เขาไม่ควรเข้าหาเธอตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่า...เรื่องราวของความสัมพันธ์อันยุงเหยิงไปมานี่ อาจจะถูกคลี่คลายได้ง่าย ๆ ด้วยการที่คนสองคนพูดคุยกัน โดยไม่ดึงเธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา ความวุ่นวายนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ เธออาจจะยังได้อยู่ในบ้านหลังนั้นต่อไป คุณพ่ออาจจะไม่ใจร้ายกับเธอเหมือนตอนนี้ก็ได้ เขาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เธอและกัญวราเกลียดกันมากขึ้น เธอผิดเองที่เลือกทางเดินโง่ ๆ นี่ พิมพ์นาราทรุดตัวอยู่กับพื้นอยู่ตรงหลังประตูบ้าน ตรงที่ที่กวีวัธน์เพิ่งจะเดินออกไป ทำไมนะ ทำไมกัน
1 ถ้าอยากให้ทุกอย่างเหมือนเดิม
“ถ้ายังอยากใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิงต่อไป ยังอยากอยู่ในวงการนี้ ก็แต่งงานกับคนที่ฉันเลือกให้ซะ อย่างน้อยก็ตอบแทนบุญคุณที่ฉันเคยเลี้ยงดูแกมา”
น้ำเสียงของชายวัยกลางคนที่กล่าวอย่างหนักแน่นยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพิมพ์นารา ในน้ำเสียงของเจ้าสัวสัมฤทธิ์นั้นแทบไม่หลงเหลือความเมตตาห่วงใยเหมือนกับเมื่อก่อน ไม่สิ...เขาไม่เคยห่วงใยเธอมาตั้งแต่แรก ราวกับว่าเขารู้มาตั้งแต่แรก ว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเขา
หญิงสาวพ่นลมหายใจอย่างรู้สึกอิดหนาระอาใจ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์แดงตรงหน้าขึ้นมาดื่ม ซึ่งไม่รู้ว่าตนเองนั้นดื่มไปแล้วกี่ขวดหรือกี่แก้ว พร้อมกับมองดูนาฬิกาข้อมือและพบว่า เลยเวลาที่เขาเป็นคนนัดเธอมาแล้วสามชั่วโมง หากเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่พิมพ์นาราจะตกจากวิมาน เลทไปแค่เพียงสิบห้านาทีก็เพียงพอที่จะทำให้เธอยกเลิกนัดได้แล้ว
แต่ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์ในการเลือกอะไรทั้งสิ้น คนของเจ้าสัวสัมฤทธิ์พ่อไม่แท้ของเธอ เฝ้าเธออยู่ตรงทางเข้าออก แค่เพียงพิมพ์นาราขยับตัวนิดเดียวคนพวกนั้นก็พร้อมจะเข้ามาประชิด หญิงสาวจึงต้องจำใจนั่งรอคอยว่าที่คู่หมั้นของตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย โชคดีหน่อยที่มื้อนี้เธอไม่ต้องออกเงินจ่ายเอง คู่หมั้นที่ชื่อกวีวัธน์ ลี อะไรนั่นให้คนมาแจ้งว่าเขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของวันนี้ทั้งหมด ให้เธอไม่ต้องกังวล
ท้องฟ้าด้านนอกกระจกใสบานใหญ่จากที่เคยสว่างไสวค่อย ๆ ทอประกายสีแดง แสงของดวงตะวันยามเย็นลับหายไปอย่างอ้อยอิ่ง แทนที่ด้วยแสงไฟยามราตรีของมหานครหลวง แต่กระนั้นก็ยังไม่ปรากฏคู่ดูตัวของเธอแม้แต่เงา
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ เดาว่าผู้ชายคนนั้นก็คงไม่อยากพบเธอเช่นเดียวกันกับที่เธอก็ไม่อยากพบหน้าเขา ข่าวลือเกี่ยวกับสถานะของเธอว่อนไปทั่วทั้งวงสังคม ดีไม่ดีเขาก็คงระแคะระคายเรื่องนี้อยู่แล้ว ถึงเจ้าสัวสัมฤทธิ์จะไม่เคยเอ่ยปากออกมาตามตรงเวลาสัมภาษณ์สื่อ ว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เดาได้จากภาษากายและคำพูดกำกวมของเขา นั่นก็เพียงพอที่นักข่าวจะเอาไปเล่นข่าวต่อได้แล้ว
ความร้ายกาจของพิมพ์นาราลดลงไปมาก ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ทายาทที่แท้จริงของเจ้าพ่อสื่อบันเทิงคนสำคัญของประเทศ ใครจะไปรู้ว่าพล็อตนิยายสลับตัวเด็กแรกเกิดจะมีจริง ๆ และเกิดขึ้นกับเธอ
พิมพ์นารานั่งเหม่อลอย ทอดสายตามองไปยังถนนเส้นใหญ่ที่เคยคลาคล่ำไปด้วยรถยนต์จำนวนมหาศาลที่เคลื่อนตัวได้ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งถนนหกเลนส์ว่างและโล่ง เมื่อดูนาฬิกาอีกทีพบว่าอีกสองชั่วโมงจะเที่ยงคืน
“เฮ้อ”
คนตัวเล็กพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ มองหน้าคนของตัวเอง ส่งสัญญาณว่านัดวันนี้ควรจะจบลงได้แล้ว ตอนที่กำลังจะถอดใจเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกันก็มีใครสักคนเดินมานั่ง
“ถอดใจแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“คุณมาสายนะคะ” เธอบอก
พิมพ์นาราเงยหน้าขึ้น ชะงักไปเล็กน้อยกับใบหน้าหล่อเหลาของแขกที่มาใหม่ พร้อมกับยื่นแขนข้างซ้ายที่สวมนาฬิกาข้อมือออกไป หมายจะให้เขาดูเวลาว่ามันสายมากแล้ว
แทนที่เขาจะดูเฉย ๆ กลับดึงข้อมือเธอไปใกล้กับจมูกจุมพิตเบา ๆ อย่างเสียมารยาท พิมพ์นารารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกฝ่าย จนรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งร่าง
“ใช้น้ำหอมอะไร?” กวีวัธน์ไม่ได้ตอบคำถามแต่สนใจกลิ่นหอม ๆ ที่อบอวลอยู่รอบตัวเธอมากกว่า
คนตัวเล็กพยายามดึงแขนของตัวเองกลับมา แต่กลับถูกเขารั้งเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ปล่อยค่ะ มาสายยังไม่พอ ยังจะมาทำตัวเสียมารยาทอีกนะคะ” พิมพ์นาราหัวเสียพร้อมกับชักแขนของตัวเองกลับอย่างรู้สึกหวงเนื้อหวงตัว ความรู้สึกบางอย่างยังคงวนเวียนอยู่ที่ข้อมือเล็กของเจ้าหล่อน
“ก็ผมรู้สึกว่าคุณตัวหอมจัง เลยอยากรู้ว่าใช้น้ำหอมอะไร” เขาปล่อยข้อมือเล็กของหญิงสาวตรงหน้าอย่างว่าง่าย แล้วจึงเอนหลังพิงกับเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ
‘สวยกว่าที่เคยเห็นในทีวี’ กวีวัธน์คิดในใจ
โกรธจนแทบบ้า หากเป็นเมื่อก่อนพิมพ์นาราคงจะโวยวายเสียงดังไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เธอทำแบบนั้นไม่ได้ ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกไป บริกรของร้านเดินก็เข้ามาพอดี
“ร้านจะปิดแล้วนะครับคุณลูกค้า”
“แย่จังเลยนะ” กวีวัธน์บอก
“ก็เพราะคุณมาสายเราเลยไม่ได้คุยกัน” พิมพ์นาราบ่นพร้อมนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจนัก
“ทำไงได้ล่ะผมเพิ่งว่างด้วยสิ เราไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันต่อดีไหม ถ้าไม่คุยกันวันนี้ ก็ไม่ว่างแล้วนะ” มาเฟียหนุ่มเสนอ
“ที่ไหน?”
“คุณลูกค้าสามารถเปิดห้องคุยกันต่อได้นะครับ ทางโรงแรมมีบริการอาหารและเครื่องดื่มด้วย” บริกรหนุ่มได้ยินแล้วก็รีบเสนอโปรโมชั่นของโรงแรมตัวเอง
“เอาตามนั้นครับ”
เขาลุกขึ้นทันทีเมื่อพูดจบ ส่วนพิมพ์นารารีบดีดตัวลุกขึ้นเดินไปดักหน้าเขา
“คุณถามฉันหรือยัง ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลย” คนตัวเล็กอ้าปากค้าง ตกลงอะไรกันเธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ มีแต่เขาที่คิดเองเออเองอย่างคนเจ้าเผด็จการ
กวีวัธน์ยืนนิ่ง ๆ สองมือล้วงกระเป๋า มองหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่ากันหลายเท่าด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ เธอสวมชุดเดรสยาวรัดรูปสีดำ แนบเนื้อไปสัดส่วนสวยงาม ดวงตาเป็นสีนิลดำสนิท จมูกเชิดรั้นขึ้นเล็กน้อยดูก็รู้ว่าเป็นคนนิสัยเอาแต่ใจ เส้นผมถูกมัดรวมด้วยกิ๊บติดผมอันใหญ่มีโบวสีเข้ากันกับชุด ริมฝีปากอวบอิ่มฉาบด้วยลิปสติกสีแดงสดชวนน่าหลงไหล
“ผมมีเวลาแค่วันนี้วันเดียว ถ้าอยากจะคุยก็เดินตามมา” เขาหันมายิ้มยียวน แต่พิมพ์นารากลับเอาแต่ยืนนิ่งทำตัวไม่ถูก “แต่ถ้าคุณตัดสินใจไม่ได้ งั้นผมจะช่วยตัดสินใจ” ไม่รอให้เธอตอบรับกวีวัธน์รั้งข้อมือเล็ก ๆ ของพิมพ์นาราให้เดินตามเขาไป
หญิงสาวที่ไม่ทันได้ระมัดระวังตัวเองเซถลาเข้าหาเขา ซบไปกับอกแกร่งของผู้ชายที่ตัวสูงกว่า กลิ่นน้ำหอมผสมกับกลิ่นบุหรี่วนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวเขา จนคนตัวเล็กรู้สึกเวียนหัวไปหมด
“ปล่อยนะคะ” พิมพ์นาราใช้สองแขนของตัวเองยันแผงอกแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายของกันและกันใกล้ชิดกันไปมากกว่านี้
“ตกลงจะคุยหรือไม่คุย” ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง “ได้ยินว่าตอนนี้คุณของขวัญเอง ก็ไม่มีทางเลือกมากนักไม่ใช่เหรอ ถ้ายังอยากใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิงเหมือนกับเมื่อก่อน ก็ไปคุยกันดี ๆ”
คราวนี้น้ำเสียงของอีกฝ่ายเจือความเย้ยหยันเอาไว้อย่างชัดเจน พิมพ์นาราอึดอัดจนแทบบ้า รู้สึกอยากหายไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“...” พิมพ์นารากัดริมฝีปากแน่นอย่างคิดไม่ตก
“คุณทำเหมือนผมกำลังบังคับคุณงั้นสิ ก็ได้ ผมจะโทรไปบอกเจ้าสัวตั้งแต่ตอนนี้” กวีวัธน์ตั้งท่าเหมือนจะโทรศัพท์
“กะ...ก็ได้” ถ้าโทรหาเขาตอนนี้ปัญหานั้นก็ตกมาอยู่ที่เธอน่ะสิ “ตกลง...เราจะไปแค่คุยกันเท่านั้น”
กวีวัธน์ยิ้มร้ายอย่างพึงพอใจ ที่ในที่สุดคนตรงหน้าก็ติดเข้ามาอยู่กับดัก
“เราก็แค่จะไปคุยกัน แล้วคุณคิดว่าผมจะทำอะไรงั้นเหรอ?” กวีวัธน์ก้มตัวต่ำสบตากับเธอ ก่อนจะพบว่าพิมพ์นาราสั่นไปทั้งตัว เขาจึงหมดอารมณ์จะกลั่นแกล้งเธอ