บทย่อ
"พูดให้มันดีๆ ฉันแก่กว่าเธอตั้งหลายปีนะ" "i am sorry ค่า พอดีว่าฉันอยู่เมืองนอกเมืองนามันหลายสิบปี แบบนี้ที่เมืองนอกใครๆ เขาก็ทำกันค่ะ" "เฮ้อ...แล้วคิดจะทำงานบ้านบ้างไหม?" "ไม่อ่ะ ทำไมต้องทำด้วยล่ะ?" เธอตอบหน้าตาเฉย "ตอนนี้เธอแต่งงานเป็นเมียฉันแล้ว หน้าที่แม่บ้านดูแลเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านก็เป็นหน้าที่ของเธอไง" "ก็คนมันทำไม่เป็นอ่ะจะให้ทำยังไง" "ไม่เป็นก็หัดสิ เดี๋ยวฉันจะให้คนมาสอน" "จิ๊! น่าเบื่อ" "อยู่บ้านก็อยู่ดีๆ อย่าเดินไปที่ไหนมั่วซั่ว แถวนี้มันเป็นป่างูเงี้ยวเขี้ยวขอมันเยอะ" "ฉันว่าฉันไม่โดนงูกัดตายหรอก จะโดนใครบางคนกัดจนตายมากกว่า" "บอกแล้วไงว่าให้พูดดีๆ ฉันแก่กว่าเธอตั้งหลายปีนะ" "แล้วพูดไม่ดีตรงไหน? ลองตอบให้ฟังชัดๆ หน่อยสิคะคุณนายหัวไกร...?" "....." "ว่าแต่ แม่ของฉันขอคุยกับคุณ เรื่องอะไรหรอ จะให้ฉันกลับไปอยู่ที่กรุงเทพแล้วใช่ไหม?" "เปล่า..." "เอ้า แล้วคุยอะไรกันอ่ะ" "ท่านบอกว่าให้เราสองคนรีบมีลูกด้วยกัน" "ห๊ะ!!!"
ตอนที่ 01 งานแต่งที่คลุมถุงชน
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่
"ทำหน้าให้มันดีๆ สิลูกวันนี้วันดีนะ"
"วันดีของคุณแม่แต่ไม่ใช่วันดีของหนูนะคะ"
"โถ่ลูกสาวแม่ ถ้าแม่ไม่ทำแบบนี้ลูกก็คงไม่คิดจะกลับมาที่บ้านเลย อีกอย่างแม่ก็รับประกันว่าไกรเนี่ยเขาถึงเป็นคนดีอบอุ่นมากๆ เลยล่ะ แม่ก็อยากให้ลูกสาวคนเดียวของแม่ได้มีคู่ชีวิตที่ดี"
"แต่ไม่ใช่คู่ชีวิตที่เลือกเอง.."
นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการเลย ฉันถูกเรียกตัวกลับมาเพราะคุณแม่บอกว่ามีเรื่องด่วน ทั้งที่ฉันไม่ได้อยากกลับเลย ฉันมีความสุขกับการที่ได้อยู่ต่างประเทศมากกว่า เพราะหลายๆ อย่างมันดีกว่าการที่ฉันต้องอยู่ที่บ้าน แล้วโดนห้ามทำแบบนั้นแบบนี้ ฉันเป็นผู้หญิงและก็เป็นลูกคนเดียว เพราะแบบนั้นคุณแม่กับคุณพ่อจึงมักจะห้ามไม่ให้ฉันทำเรื่องบลาๆ เพราะเขามักจะบอกเสมอว่ามันไม่ดี แต่ฉันก็มีสิทธิ์ตัดสินใจที่จะทำอะไรนี่นา
เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่อยากกลับ หลังจากได้ไปเรียนต่างประเทศฉันก็อยู่ที่นั่นถาวรเลย เพราะมีหลายๆ อย่างที่ฉันชอบและฉันก็มีความสุขมาก
สามเดือนก่อนหน้านั้น
"อะไรนะคะ หนูต้องกลับจริงๆ หรอ ปกติที่บ้านมีงานอะไรหนูก็ไม่กลับอยู่แล้วนี่นา ทำไมครั้งนี้ต้องกลับด้วยล่ะ?"
( ต้องกลับมาให้ได้นะลูก แม่มีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดกับลูก แล้วก็มีคนที่จะแนะนำให้รู้จักด้วย )
"ใครกันคะ?"
( กลับมาเดี๋ยวลูกก็รู้เอง รีบกลับมานะ )
สุดท้ายฉันก็ต้องจองตั๋วเครื่องบินแล้วกลับไปที่บ้าน ก่อนจะพบว่าเรื่องสำคัญที่คุณแม่บอกมันเป็นเรื่องที่ฉันจะต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนึง และฉันก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลยด้วย
เพราะแบบนี้คุณแม่ถึงไม่ยอมบอกกับฉันผ่านโทรศัพท์ เพราะถ้าบอกกับฉันก่อนฉันจะไม่มีทางจองตั๋วเครื่องบินแล้วกลับมาเด็ดขาด
ฉันแค่ไม่อยากแต่งงาน ฉันไม่อยากมีครอบครัว ฉันอยากใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ การที่ฉันตัวคนเดียวมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไรสักหน่อย ฉันมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้
"ลูกสาวของคุณหญิงเนี่ย สวยจริงๆ เลยนะคะ สวยเหมือนกับคุณหญิงสมัยสาวๆ เลย"
"ขอบคุณมากนะคะ เชิญเข้าไปข้างในก่อนค่ะ"
แต่งงานโดยที่ไม่รู้ตัวยังไม่พอ แถมงานแต่งก็ยังถูกจัดขึ้นใหญ่โตโอ่อ่าอีกต่างหาก ญาติของคุณแม่และญาติของคุณพ่อไหนจะนักธุรกิจต่างๆ มารวมตัวกันเยอะแยะมากมาย และนั่นฉันก็แผลงฤทธิ์อะไรไม่ได้เลย ใจจริงอยากจะชิ่งหนีออกไปทั้งชุดงานแต่งแบบนี้เลยด้วย
"เข้าไปข้างในกันเถอะลูก"
"ค่ะ"
หลังจากที่ยืนรับแขกกันได้สักพักใหญ่ๆ คุณแม่ก็พาฉันกลับเข้าไปด้านใน เตรียมตัวที่จะเข้าพิธีงานแต่ง
ก๊อกๆๆๆ
"ทางฝั่งของเจ้าบ่าวมาถึงแล้วค่ะคุณหญิง"
"โอเคจ้ะขอบใจมากนะ"
"เฮ้อ..."
"อะไรกันลูก อย่าถอนหายใจแบบนี้สิ แม่อยากเห็นเรายิ้มออกมานะ ยิ้มให้แม่ดูหน่อยสิ"
"ลองให้คุณแม่มาถูกบังคับเหมือนหนูบ้างคุณแม่จะยิ้มออกไหมคะ?"
ฉันเดินออกมาจากห้องพักโดยมีคุณแม่เดินตามหลังมา
"ไงลูกสาวพ่อ"
"มารับหรอคะ?"
"ใช่ เกาะแขนพ่อสิ"
"ค่ะ"
ฉันกอดแขนคุณพ่อแล้วเดินลงไปด้วยกัน ภาพแรกที่ฉันเห็นคือทุกคนกำลังตะลึงในขณะที่ฉันกำลังลงไป และสิ่งต่อมาที่ฉันเห็นคือผู้ชายในชุดขาวซึ่งกำลังยืนอยู่ด้านล่าง ถ้าเดาไม่ผิดเขาคงจะเป็นเจ้าบ่าวที่คุณแม่หามาให้ฉันแต่งงานด้วย เขาหล่อและดูดีมาก จะบอกว่าเป็นสเปคฉันเลยก็ได้ แต่เราสองคนยังไม่รู้จักกันเลย คนเราจะแต่งงานกันก็ต้องผ่านการคบกันเป็นแฟนหรือว่าขอแต่งงานก่อนสิ ต่อให้เขาจะหล่อเพอร์เฟคมากแค่ไหนฉันก็ไม่ได้คิดที่จะข้ามเส้นก้าวผ่านเรื่องพวกนั้นไป
งานแต่งราบรื่นไปได้ด้วยดีโดยที่ฉันไม่ได้แผลงฤทธิ์หรือสร้างความวุ่นวาย แต่ก่อนตอนเด็กๆ ฉันบอกกับคุณแม่เสมอว่าฉันไม่อยากมีงานวันเกิดไม่อยากจัดงานอะไรเลย ฉันชอบความเงียบ ชอบการอยู่คนเดียว มีครั้งนึงที่คุณแม่จัดงานวันเกิดและเชิญผู้คนมากมายมาร่วมงาน และฉันก็หนีออกจากบ้านเพราะไม่อยากมีงานวันเกิด ฉันมักจะทำแบบนั้น แต่ตอนนี้ฉันโตแล้ว ฉันพอจะรู้ว่าฉันควรทำยังไงเพื่อไม่ให้พ่อแม่ต้องอับอาย
หลังจากแต่งงานฉันก็ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านของผู้ชายคนนั้น บ้านของเขาก็เป็นสไตล์บ้านคนรวยเพียงแต่อยู่ในหุบเขาในป่าหน่อย โดยรวมแล้วคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวชอบตัวคนเดียวแบบฉันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเลย
"ห้องนอนของเธออยู่ตรงโน้น ส่วนห้องนอนของฉันอยู่อีกฝั่งนึง อยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกแม่บ้าน พวกเขาจะจัดหามาให้ ยกเว้นของแพงๆแบรนด์หรูที่เธอเคยใช้ตามห้าง เพราะที่นี่ไม่มีใช้และไม่มีที่ให้ซื้อด้วย"
"อะ..."
"อีกอย่างถ้ามืดแล้วห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด ที่นี่อันตราย และในสวนจะมีเวรยามเฝ้าตลอดพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร เพราะฉะนั้นห้ามออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า"
"แล้วทำไมถึงต้องมีเวรยามด้วยล่ะ?"
"ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องมาอธิบาย บอกอะไรไปเธอก็ฟังด้วยก็แล้วกัน พวกเขามีอาวุธครบมืออย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าพวกเขาจะยิงเธอข้อหาที่เธอบุกรุกยามวิกาลมันก็ไม่ผิด พวกเขามีหน้าที่เฝ้าและระวังไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาในสวน"
"ค่ะ"
ให้ตายสินี่ฉันต้องอยู่ในบ้านที่มีแต่กฎมากมายแบบนี้จริงๆ เหรอ แล้วฉันจะมีโอกาสออกไปสู่โลกภายนอกบ้างหรือเปล่าล่ะเนี่ย
"ฉันอยากได้รถ"
"ไม่มี อยากไปไหนทำอะไรมีคนขับรถให้คุณ แถวนี้มันอันตราย คุณไม่คุ้นชินเส้นทางอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้"
"แล้วจะให้ฉันอยู่แต่บ้านอย่างเดียวเลยงั้นหรอ? ฉันไม่ใช่คนอยู่ติดบ้านนะ ฉันก็อยากออกไปเที่ยวห้างทำอะไรส่วนตัวของฉันบ้างไม่ใช่ให้อยู่แต่บ้าน"
"ออกไปได้ แต่ก็ต้องมีคนออกไปด้วย"
"....." ฉันอยากจะแหกปากร้องให้มันดังๆ นี่มันบ้านหรือคุกกันแน่เนี่ย บ้านหลังใหญ่โตก็จริง แต่กลับเดินไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้
"พรุ่งนี้ฉันจะเรียกคนงานทุกคนมาเพื่อแนะนำเธอให้รู้จัก พวกเขาจะได้รู้จักเธอ และถ้าเธอจะออกไปไหนพวกเขาจะได้ไม่ต้องคิดว่าเป็นโจรหรือขโมย"
"หน้าตาฉันมันออกแบบนั้นรึไง?"
"ต่อให้หน้าตาดี ก็ใช่ว่านิสัยจะดี"
"....."
โอ๊ะ! อีตาบ้านี่กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับฉันเนี่ย รู้จักฤทธิ์คนอย่างฉันน้อยไปซะแล้ว