เริ่มต้นพินัยกรรม(2)
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่เกิดวิกฤต อิศราก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่เพราะปราโมทย์เกรงใจ จึงได้นำโฉนดที่ดินของเขามอบไว้ให้อีกฝ่ายเก็บเอาไว้เป็นหลักประกัน
“ผมไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณพ่อของคุณยังไงดี เอาเป็นว่าหลังจากนี้ถ้ามีอะไรอยากให้ผมช่วยบอกได้เลยนะครับคุณนัย ผมยินดีช่วยเหลือเต็มที่ ต้องเกรงใจเลยนะครับ”
ชายวัยกลางคนกระตือรือร้นอยากช่วยที่เหลือชายหนุ่ม หากอีกฝ่ายมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจต้องการขอความช่วยเหลือ เขายินดีที่จะช่วยอย่างไม่ลังเล…
มาริสาและเมธาวินกลับมาถึงบ้าน ปราโมทย์บอกข่าวดีให้ทั้งสองได้รับรู้ หญิงสาวแทบไม่อยากเชื่อว่าอิศราจะยกหนี้ทุกบาททุกสตางค์ให้กับพ่อของเธอ
แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนใจดีก็ตาม แต่หนี้สินนับล้านไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยกให้กันง่ายๆ
“พรุ่งนี้พ่อจะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ คุณอิศรา พ่อฝากเตรียมของให้ด้วยนะริสา พรุ่งนี้พ่อจะออกแต่เช้า”
หญิงสาวพยักหน้า เธอรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจจนน้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ อิศรามีเมตตากับครอบครัวของเธอเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แม้ตัวจะไม่อยู่แล้วแต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยความห่วงใยเอาไว้
“ที่ดินทั้งหมดที่ได้คืนมาพ่อจะแบ่งให้ลูกทั้งสองคน พ่ออายุมากแล้วคงอยู่ได้อีกไม่นานไม่รู้จะเอาไปทำอะไร”
สองพี่น้องได้ยินแบบนั้น ก็รีบห้ามปรามไม่ให้พ่อพูดอะไรที่อัปมงคลออกมา มาริสาสวมกอดผู้เป็นพ่อด้วยท่าทางออดอ้อน แม้รู้ว่าจะต้องมีวันนั้นแต่เธอก็ไม่อยากนึกถึงให้รู้สึกใจเสีย
“พ่อต้องอยู่กับหนูอยู่กับหลานๆไปอีกนานๆสิ พ่อจะรีบไปไหนล่ะ ไม่อยากอยู่ดูหลานโตหรือไง”
หญิงสาวเอ่ยถาม ตอนนี้ลูกทั้งสองของเมธาวินกำลังน่ารักน่าชัง และพ่อก็เห่อหลานเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นควรจะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้จะได้อยู่นานๆ
“ถึงเวลาคนเราก็ต้องไปนะลูก ไม่มีใครห้ามกฎของธรรมชาติได้หรอก”
“หนูรู้อยู่แล้วแต่หนูไม่อยากให้พ่อพูดถึงเรื่องนั้น ไม่มีใครอยากได้ยินเรื่องความตายหรอกนะพ่อ”
หญิงสาวขอร้องไม่ให้พ่อเอ่ยอะไรแบบนั้นออกมาอีก เธอยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของอิศรา หากต้องสูญเสียพ่อไปอีกคนเธอจะมีชีวิตอยู่ยังไง…
อัครนัยหาฤกษ์งามยามดีมาได้ก่อนที่เขาจะเดินทางมาหามาริสาเพื่อพูดคุยเรื่องแต่งงาน พักนี้ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันบ่อยครั้ง ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่า หญิงสาวเป็นคนสดใสและมองโลกในแง่ดี ที่สำคัญเธอยังเก่งเรื่องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสามารถมากมาย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจในตัวว่าที่เจ้าสาวของเขาเป็นอย่างยิ่ง
“ทำไมคุณถึงอยากไปเรียนที่ประเทศจีนล่ะ”
สองหนุ่มสาวเดินอยู่ริมแม่น้ำ หลังจากที่เดินทางไปลองชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวเรียบร้อย อัครนัยก็อาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารก่อนจะพามาริสามาเดินเล่นเพื่อย่อย
“ฉันชอบวัฒนธรรมจีนค่ะ ชอบดูหนังจีนชอบฟังเพลงจีน ฉันรู้สึกว่าประวัติศาสตร์จีนมีเสน่ห์แล้วก็มีเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด”
เธอเรียนภาษาจีนมาตั้งแต่เด็ก หาประวัติศาสตร์อ่านมานานหลายปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องราวใหม่ๆดึงความสนใจได้อยู่เสมอ
“แล้วนอกเหนือจากพวกวัฒนธรรมคุณชอบผู้ชายจีนด้วยหรือเปล่า”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะก่อนจะส่ายหน้ารัว มันคงเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เธอไม่ชอบเกี่ยวกับประเทศจีน ไม่ใช่ว่าผู้ชายจีนไม่ดีแต่ด้วยลักษณะนิสัยบางอย่าง เธอรู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก
“ฉันอยากมีสามีเป็นคนไทยมากกว่าค่ะ แต่ไม่ขอบอกเหตุผลที่ไม่ชอบคนจีนนะคะ มันค่อนข้างละเอียดอ่อนฉันไม่อยากพูดอะไรแย่ๆเกี่ยวกับพวกเขา”
ถึงเธอจะประสบพบเจอคนไม่ดีแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดจะเหมารวม หญิงสาวเชื่อว่าทุกพื้นที่มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนรวมกันไป ในอนาคตหากเธอเจอคนที่เข้ากันได้จริงๆก็คงจะตกลงปลงใจ
“คุณเคยมีแฟนหรือเปล่า”
หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยินคำถามนั้น เธอเรียนหนักมาตั้งแต่เด็กจนแทบไม่คิดถึงเรื่องความรัก แต่ก็ใช่ว่าไม่มีรักแรก เธอก็เคยแอบชอบรุ่นพี่ แต่มันก็นานมาแล้วจนแทบจะจำไม่ได้ และตอนสมัยที่เรียนอยู่จีน ก็มีผู้ชายมาจีบบ้าง แต่พอเข้ากันไม่ได้เธอก็เลือกที่จะปฏิเสธไปตามตรง
“ฉันไม่เคยมีค่ะ แต่เคยมีความรักนะ แล้วคุณล่ะคะเคยมีหรือเปล่า”
ชายหนุ่มพยักหน้าเขาไม่คิดจะปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้ว
“ผมคบใครได้ไม่ค่อยนาน ผมก็คล้ายคุณ เรียนหนักแล้วก็บ้างาน”
“เรานี่เหมือนกันเลยนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เธอเป็นคนที่สดใสทำให้คนที่อยู่ข้างๆเหมือนได้รับพลังบวกไปด้วย
“ผมดีใจนะที่คุณยอมช่วย แต่ก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ทำให้คุณต้องเสียสละมาแต่งงานกับผม”
“อย่าคิดแบบนั้นเลยค่ะ แต่งกันแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หย่ากันแล้ว ฉันไม่เดือดร้อนหรอกค่ะ”
น่าแปลกที่ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของหญิงสาว เธอมักจะเอ่ยคำว่าหย่าย้ำๆซ้ำๆหลายครั้ง ทำให้เขารู้สึกแสลงหู
“นี่ก็เย็นมากแล้วเรากลับกันเถอะค่ะ เดี๋ยวพ่อจะเป็นห่วง”