บทนำ ข้าคือภรรยาต่ำช้า มารดาเลวทราม
‘ไป๋เอ๋อร์ลูกรักของแม่ ต่อจากนี้เจ้าจะต้องไปเป็นเจ้าสาวของสกุลจ้าว ไปทำให้ชีวิตของพวกมันทุกคนวิบัติฉิบหายย่อยยับ ให้ตระกูลจ้าวล่มจมไม่เหลือดี หากเจ้ารักแม่...เจ้าต้องแก้แค้นให้แม่!’
ผู้เป็นมารดาเกลี้ยกล่อมเด็กหญิงด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน กรอกหูด่าทอสกุลจ้าวให้นางฟัง ปลูกฝังความแค้นเคืองในหัวใจของนางอยู่นานหลายเดือน จากนั้นจึงส่งนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปอาศัยอยู่ที่สกุลจ้าวจนกว่าจะพ้นวัยปักปิ่น
เกอไป๋หลันไม่อยากไป นางยังโหยหาอ้อมกอดของมารดาแทบขาดใจ โหยหาคำหวาน โหยหามือคู่นั้นที่วางลงบนศีรษะอย่างอ่อนโยน ทว่าหากไม่ทำตามคำสั่ง นางก็กลัวว่ามารดาจะกลับไปเกลียดชังนางดังเดิม หากเป็นเช่นนั้นหัวใจของนางคงแหลกสลาย
ในสายตาของทุกคนใน ‘ตระกูลจ้าว’ นั้น ‘ไป๋หลัน’ ในวัยเพียงสิบสองปีย่างสิบสามปีนั้นช่างร้ายกาจเหลือเกิน นางมีใบหน้างดงามแต่มีจิตใจต่ำทรามดั่งปีศาจร้ายก็ไม่ปาน
จวนที่เคยสงบสุขกลับร้อนดั่งไฟ!
ทันทีที่พ้นวัยปักปิ่นแม่นมก็จัดแจงให้นางได้หลับนอนกับสามี โดยมีหมอคอยตรวจร่างกาย วัดค่าปราณภายใน และบำรุงร่างกายด้วยสมุนไพรนานาชนิด จนแน่ใจว่าร่างกายของนางในวันนั้นพร้อมสำหรับการปฏิสนธิของสิ่งมีชีวิต
การเข้าหอที่ต่างฝ่ายต่างเกลียดชังไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า จึงมีม่านกั้นผืนใหญ่ขวางเตียง ไป๋หลันนอนเปลือยเปล่าเปิดเปลือยเพียงท่อนล่าง ยกขาตั้งชันแล้วอ้าออก โดยที่ผ้าม่านกางกั้นทาบทับผ่านหน้าท้องของนางเอาไว้ เพื่อปิดบังใบหน้าของแต่ละฝ่ายไม่ให้มองเห็นกัน จากนั้นจึงให้ผู้เป็นสามีปฏิบัติหน้าที่
ทันทีที่แกนกลางกายบุรุษล่วงล้ำเข้ามา ไป๋หลันเจ็บปวดและด่าทออีกฝ่ายอย่างหยาบคาย ซึ่งอีกฝ่ายเองก็หาได้อยากแตะต้องเนื้อตัวภรรยา ด้วยขยะแขยงราวกับเห็นนางเป็นหนอนน่ารังเกียจ เขาจึงรีบสอดใส่อย่างกระแทกกระทั้นเพื่อรีบหลั่งสายน้ำแห่งชาติพันธุ์เข้าไปในร่างกายของภรรยาตามความต้องการของผู้อาวุโสในตระกูล ก่อนจะผละออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหันหลังกลับมา
โชคดีที่เพียงครั้งเดียวไป๋หลันก็ตั้งครรภ์สมดั่งใจ
‘เพราะพวกสกุลจ้าวเห็นแก่ตัวต้องการมีทายาทสืบสกุล คุณหนูจึงต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ ดังนั้นเด็กในท้องคือสิ่งเลวทรามหาใดเปรียบ เพราะมีสายเลือดของพวกมันอยู่ไหลเวียนอยู่ในกาย!’
ไป๋หลันเห็นคล้อยตาม ‘แม่นม’ เพราะแม่นมเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่อายุห้าปี อีกทั้งยังไม่เคยทุบตีหรือว่าร้ายนางเลยสักครั้ง
ยิ่งครรภ์ใหญ่ขึ้นไป๋หลันก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชังขยะแขยงบุตรในท้องของตนเอง ยิ่งนางแพ้ท้องมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งเกลียดชังเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลจ้าวที่อยู่ในครรภ์ของนางมากเป็นเงาตามตัว
ช่วงเวลาที่นางได้ให้กำเนิดบุตร ราวกับก้าวผ่านความเป็นความตาย ก้าวข้ามความเจ็บปวดเพราะตั้งครรภ์ตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กสาวเพิ่งพ้นวัยปักปิ่น
ทว่าเมื่อไป๋หลันได้เห็นสิ่งมีชีวิตตัวแดงๆ ในห่อผ้า หัวใจของนางกลับไหววูบ ความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดไปทั่วหัวใจ
หวงแหน อยากปกป้อง...
จังหวะที่นางจะยื่นมือไปรับบุตรสาวมากอดประคองนั้น ภาพในวัยเยาว์กลับฉายชัดขึ้นมาในห้วงแห่งความทรงจำ ฝ่ามือมารดาที่ตบลงมาบนใบหน้า เมื่อเริ่มเป็นสาวจึงเปลี่ยนเป็นใช้แส้ฟาดไปตามแผ่นหลังและต้นขาเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหานินทา
เสียงแส้ที่สะบัดลงมาบนเรื้อหนังทำให้ร่างเล็กบอบบางสะดุ้งโหยงสั่นเทิ้มไปทั้งสรรพางค์กาย ไป๋หลันหูอื้อ ตาลาย ใจสั่น มือสั่น ร่างกายเย็นเฉียบด้วยความหวาดกลัว
ไม่!
‘ข้าไม่สมควรรักเด็กคนนี้! เพราะหากว่าข้ารัก ข้าอาจจะเผลอทุบตีจนเด็กคนนี้ต้องทุกข์ทรมานเฉกเช่นที่ข้าเคยได้รับ เด็กคนนี้ควรอยู่ห่างจากข้าให้มากที่สุด!’
‘มารดาก็บอกว่า ‘รัก’ ข้า แต่มารดาก็ตีข้าราวกับวัวควาย ข้าอาจจะเผลอทำร้ายทุบตีก็เป็นได้ ไม่! ข้ากลัว! ข้ากลัว!’
ความหวาดกลัวที่กัดกินจิตใจทำให้ไป๋หลันเลือกที่จะหันหลังให้กับเด็กน้อย เมินเฉย และไม่คิดจะเลี้ยงดูเฉกเช่นที่มารดาพึงกระทำ
ภาพความทรงจำถาโถมราวกับคลื่นทะเลบ้าคลั่งซัดสาด ในขณะที่หัวใจปริร้าวแทบแตกสลาย ดวงตาแดงก่ำพร่าเลือน
“ความผิดของข้ามากมายเหลือเกิน มากมายจนชีวิตของข้าไม่อาจชดใช้ได้หมด”
นายหญิงแห่งสกุลจ้าวร่ำไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด วันคืนผันผ่าน แสงจันทราเยี่ยมย่างมายังช่องแสงเล็กๆ วันแล้ววันเล่า ทำให้ไป๋หลันได้ตกตะกอนความคิด หวนคิดถึงสิ่งผิดพลาดที่ตนเองเลือกเดินครั้งแล้วครั้งเล่า
“ผิดพลาดมาโดยตลอด ข้าคือความผิดพลาดที่ไม่ควรจะเกิดมาบนโลกใบนี้”