บทที่9
ค่ำคืน ณ หุบเขา
แสงคบเพลิงหลายสิบอันถูกจุดขึ้นหลังจากความเงียบเข้าครอบงำทั่วบริเวณ กลุ่มโจรป่าที่ทำการดักปล้นรถม้าของพ่อค้าจากเมืองหลวงได้ย้อนกลับมายังจุดเกิดเหตุ พร้อมกับเร่งรีบในการทำบางอย่างกับร่างที่นอนแน่นิ่งทั้งหมด
“เร็วเข้า เร่งมือก่อนที่จะมิทันการ”
“ขอรับนายท่าน”
จ้าวหมิงเยว่ขบกรามแกร่งแน่น เขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าคนด้านล่างจะเป็นอันใดไปเสียก่อน ด้วยอากาศที่เริ่มเย็นเยียบจนจับขั้วหัวใจทำให้เขาหวาดหวั่นว่าจะมาช้าจนเกินไป
‘ท่านห้ามเป็นอันใดไปนะท่านลุงเขย ข้ายังมิอยากเป็นโจรไปชั่วชีวิต’
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม คนจากด้านล่างได้นำสิ่งที่ค้นหาขึ้นมาได้จนครบ ก่อนคนทั้งหมดจะหายไปในความมืด โดยทั้งหมดได้โยนคบเพลิงลงไปยังเหวลึกเบื้องล่าง
โรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวง ภายในห้องลับชั้นบนสุด
ร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่หลังม่านกำลังก้มมองกระดาษแผ่นเล็กในมือ ก่อนจะยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“ฮา ๆ เมื่อตัวจริงจากไป เราเพียงแค่โยนความผิดให้แก่ตัวปลอม ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น”
“หมายความว่า ฮ่องเต้กับท่านอ๋องเจ็ดตายแล้วอย่างนั้นใช่หรือไม่ขอรับ”
“หึ ๆ ต่อให้พวกมันวางแผนรัดกุมและแยบยลเพียงใด ก็มิอาจเหนือข้าไปได้”
“เราจะลงมือกับตัวปลอมเลยหรือไม่ขอรับ”
“ยังก่อน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ปล่อยพวกมันตายใจ และตามเก็บพวกปลาน้อยที่เราปล่อยว่ายน้ำไปก่อน ยังมีเวลาอีกมากที่จะกำจัดพวกมันทั้งสกุล หากใครรอดเข้าสู่ประตูเมืองหลวง ก็ส่งมันลงนรกไปเสียให้หมด อย่าได้ให้พวกมันทรมานนาน”
“ขอรับนายท่าน อ้อ! ว่าแต่เรื่องหลานชายคนโตของฮองเฮา จ้าว
อวิ๋นเราจะจัดการเลยหรือไม่ขอรับ แต่ข้าไม่คิดว่าคนเช่นจ้าวอวิ๋นจะมีพิษภัยอันใดเลยนะขอรับ”
“ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ประมาทกับคนสกุลจ้าว แม้จ้าว
อวิ๋นดูไร้ค่าเพียงใดในสายตาคนทั่วไป แต่เจ้าลองคิดดูว่า คนเช่นนั้นไยถึงเป็นเจ้าเกาะดอกเหมยได้เล่า หากไร้ฝีมือจริง ต่อให้มีบารมีของฮองเฮาหนุนอยู่ เขาก็มิอาจรอดพ้นกลุ่มคนที่ต้องการแย่งชิงเกาะนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จ้าวอวิ๋นคือทายาทสกุลจ้าวรุ่นต่อไป ย่อมต้องมีดีมิน้อย”
“นายท่านโปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วย ที่บังอาจมองข้ามความสามารถของศัตรูไปมากเช่นนี้”
“ดำเนินตามแผนการเดิม อย่าได้ทำอันใดนอกเหนือคำสั่งข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูข้าไปด้วย เข้าใจรึไม่”
“ทราบแล้วขอรับ”
ทุกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพากันชูจอกสุราเป็นการเคารพผู้นำหลังม่านของพวกตนซึ่งได้ยกจอกสุราขึ้นสูงเช่นกัน ก่อนจะพากันดื่มด่ำกับสุรารสเลิศกันอย่างสุขใจกับข่าวที่ได้รับจากทางไกล
วังหลวง ตำหนักฮองเฮา
สตรีในชุดสีทองอร่ามกำลังเอนกายพิงหมอน โดยแขนข้างหนึ่งตั้งชันรองศีรษะได้รูป อีกข้างถือตำราอยู่ในมือ สายตาคู่งามมิได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากตัวอักษร สร้างความร้อนใจให้แก่แขกผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก
“ฮองเฮาเพคะ ไยยังทรงนอนพระทัยอยู่เช่นนี้เล่าเพคะ”
“เรื่องอันใดเล่าที่เจ้าว่าข้านอนใจ หืม? เป่าฮูหยิน” ดวงเนตรคู่งามชำเลืองแลคู่สนทนาเพียงน้อย แล้วกลับมาให้ความสนใจในตัวอักษรต่อ
“ก็ทรงเป็นแบบนี้น่ะสิเพคะ ฝ่าบาทถึงทรงมีพระสนมคนใหม่อีกแล้ว”
“อ้อ! เรื่องนี้เองรึที่ทำให้เจ้ารีบมาหาข้าถึงในวัง ตัวข้ารึอุตส่าห์ดีใจคิดว่าเจ้านั้นคิดถึงข้าเสียอีก”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนแกล้งเอ่ยเย้าแหย่เป่าฮูหยินที่นั่งทำหน้างอง้ำอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในตำหนัก โดยที่ดวงตาคู่งามยังคงไล่เลียงตามตัวอักษรมิให้คลาดไปแม้แต่ตัวเดียว
“หม่อมฉันจริงจังมากนะเพคะ นอกจากเป็นห่วงพระนางแล้ว หม่อมฉันก็คิดถึงพระนางมากเช่นกันนะเพคะ อย่าทรงมองความจริงใจของหม่อมฉันเป็นอื่นไปสิเพคะ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดปานเด็กของเป่าฮูหยินเรียกรอยยิ้มพิมพ์ใจจากเจ้าของตำหนักได้เป็นอย่างดี ก่อนที่มือบางจะลดระดับตำราที่บังพระพักตร์อยู่ลงอย่างช้า ๆ เพื่อเผยให้คนที่มาเยี่ยมเยียนได้เห็นรอยยิ้มพึงใจของนาง
“ข้ายังมิได้ว่าอันใดเลย อายุเจ้าก็มิน้อยแล้ว ยังจะทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้ หืม!”
“พระนางเองก็ทรงพระทัยกว้างเกินไปนะเพคะ มีที่ไหนที่ยอมให้พระสนมเอกเป็นผู้จัดการงานโดยมิผ่านพระนางเสียก่อน” เป่าฮูหยินเอ่ยแย้ง ทั้งน้ำเสียงยังตัดพ้อต่อว่า
“เจ้าอยากให้ข้าเหนื่อยมากนักหรืออย่างไรกัน การที่ฝ่าบาทให้หลิวกุ้ยเฟยเป็นผู้จัดการทุกอย่างแทนข้าทั้งหมด มันก็ดีอยู่แล้วมิใช่รึ”
“จะดีได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อหลิวกุ้ยเฟยเองก็ต้องการสิ่งที่พระนางครอบครองอยู่เช่นกันนี่เพคะ”
“แล้วนางทำได้หรือไม่เล่า ข้าก็ยังคงอยู่ตรงนี้มิใช่รึ เจ้าลองคิดดูให้ดี ๆ นะ ว่าการที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้หลิวกุ้ยเฟยเป็นคนจัดการงานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งหมด ย่อมส่งผลดีต่อตัวข้าอยู่มากมายหลายอย่าง ข้ามิต้องทนรับการร้องขอที่อาจมากมายเกินจำเป็น เพราะหากข้าปฏิเสธที่จะให้ขึ้นมา ผู้คนก็จะมองว่าข้าริษยาสนมคนใหม่ของสวามี หากข้ายินยอมที่จะให้ตามคำเรียกร้อง ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ถูกหรือไม่”
“หม่อมฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีเพคะ” ผู้เป็นแขกเลิกคิ้วสงสัย
“ก็ถ้าหลิวกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแล เต๋อเฟยจะเรียกร้องเกินอำนาจของหลิวกุ้ยเฟยได้รึไม่เล่า นางมิอาจทำได้ จริงหรือไม่ หลิวกุ้ยเฟยคือคนที่เหมาะสำหรับการรับมือกับสตรีผู้นั้นมากกว่าข้า เรารู้แต่แกล้งโง่งมเสียบ้างก็ได้”
จ้าวเหลียนเอ่ยเนิบช้า อธิบายอย่างใจเย็น เสมือนว่าทุกเรื่องที่ผู้อื่นร้อนใจ นางกลับเฉยเมยกับมันเสียอย่างนั้น มีเพียงขันทีและนางกำนัลข้างกายเท่านั้นที่รู้ดีในความเฉื่อยช้าของผู้เป็นนาย ว่ามันเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
แม้ปากจะบอกว่าเข้าใจ แต่ใบหน้างามของอดีตนางกำนัลข้างกายมิได้เป็นดั่งเช่นคำพูดเลยสักนิดเดียว
“พระนางเพคะ หม่อมฉันได้ยินข่าวมาว่า เมื่อหลายวันก่อน จวนสกุลเชี่ยถูกโจรบุกปล้นเพคะ”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น แต่ข้ายังมิได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเลยยังไม่รู้ความอันแท้จริงเท่าใดนัก อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนัก เลยมิได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นนอกวังหลวงเท่าใด เจ้าเองก็อย่าเอาเรื่องอื่นมาทำให้ความงดงามของเจ้าเศร้าหมองลงไปด้วยเลย”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนเอ่ยเย้าแหย่อดีตนางกำนัลด้วยรอยยิ้มงาม ทำให้เป่าฮูหยินถึงกับพลั้งเผลอแย้มยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว หลายวันมานี้ นางคร่ำเคร่งกับการคิดเป็นห่วงผู้เป็นนายจนไม่เป็นอันทำการงานใด แม้แต่การดูแลตัวเองที่ปกตินางจะไม่มีวันละเลยมันเลยแม้แต่น้อย
“พระนางทรงเย้าหม่อมฉันรึเพคะ”
“เห็นหรือไม่ เพียงเจ้ายิ้มออกมาก็งามหาที่ติมิได้ เรื่องในวังนั้น เจ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นได้แล้ว จงมองหาความสุขของตนเข้าไว้ รู้รึไม่ แม้ตัวข้าเองเหมือนจะสูญเสียอำนาจในมือไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทว่าปัจจุบัน ข้ายังคงเป็นคนที่มีสิทธิ์นั่งเคียงข้างฝ่าบาทเหนือสตรีอื่นใด อย่าได้กังวลกับสิ่งที่ยังมิเกิดขึ้นเลยนะ”
“เพคะ หม่อมฉันต้องขออภัยที่นำเรื่องเช่นนี้มาเป็นประเด็นทำให้พระนางมัวหมองในพระทัยเพคะ”
“แล้วไปเถิด”
มือบางยกขึ้นเป็นเชิงให้ทุกอย่างจบลงแต่เพียงเท่านี้ การสนทนาครั้งนี้มิใช่อยู่ในที่ลับหรือส่วนตัวมากนัก นางมิรู้ว่ามีหนอนที่ชอนไชมากเพียงใดในวังหลวงแห่งนี้ ทางที่ดีต้องหยุดทุกอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดความบาดหมาง ก่อนจะถึงเวลาเก็บกวาดที่เหมาะสม
หมากทุกตัวบนกระดานกำลังถูกวงให้มารวมกันตรงกลาง สิ่งสำคัญ ทุกย่างก้าวต้องรอบคอบให้มากที่สุด จะให้คำพูดเพียงคำเดียวทำลายมิได้ นางคือหงส์ที่สยายปีก แล้วจะให้ลูกนกที่เพิ่งผลัดขนมาโฉบจิกได้หรืออย่างไรกัน
ตำหนักเต๋อเฟย
“เจ้าบอกข้าได้รึยัง ว่านางโจรนั่นคือผู้ใด”
เสียงใสกังวานเอ่ยถามคนที่คุกเข่าก้มต่ำอยู่บนพื้น สายตาคมมองไปยังชายหนุ่มชุดดำที่ยังคงนิ่งเงียบด้วยความขุ่นเคืองในอารมณ์ ด้วยนางถูกสตรีในชุดดำหยามเหยียดโดยตั้งใจ แม้จะไร้คำพูด แต่การกระทำคือสิ่งที่เสมือนมีดที่กรีดแทงใจกว่าหลายเท่านัก
“ทูลองค์หญิง หลังจากคืนนั้น ทุกอย่างเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังเร่งส่งคนออกติดตามหาข่าวทั่วทั้งในและนอกเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้เรื่อง เจ้ามิน่าทำงานเล็กน้อยเพียงนี้ผิดพลาดได้เลย กลุ่มคนมากมายถึงเพียงนั้นจะหายไปได้อย่างไรโดยไร้ผู้คนพบเห็น หรือพ้นสายตาพวกขายข่าวไปได้”
ชายหนุ่มยังคงก้มหน้านิ่งเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ด้วยเขารู้นิสัยของผู้เป็นนายดีว่า เวลาเช่นนี้มิควรต่อคำกับนางเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ลมหายใจของเขาอาจปลิดปลิวไปโดยไม่รู้ตัว
“กระหม่อมไร้สามารถ องค์หญิงโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ! เจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวงมือดีของแคว้นตง ไยถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้ไปได้”
เผียะ!
ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของหญิงสาว เมื่อร่างบางหมุนกายเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมยังมุมปากของตนเอง
“ไปได้แล้ว เรื่องนี้ เจ้าต้องหาคำตอบมาให้ข้าเร็วที่สุด ก่อนคนของเจ้าแก่นั่นจะหานางโจรพบก่อนเรา”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”
ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แม้ภายในใจเขาอยากรู้ถึงเหตุผลของผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดได้มากไปกว่านี้ ว่าเหตุใดนายหญิงของตนถึงต้องการสืบหานางโจรที่บุกสังหารครอบครัวสกุลเชี่ย
กั๋วเชียงมองเลยออกไปยังนอกหน้าต่าง คืนนี้ พระจันทร์ช่างงดงาม ทว่า ใจของนางกลับคลั่งแค้นในสายตาของนางโจรผู้นั้น จนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ สตรีที่มากด้วยฝีมือซ้ำยังเย้ยหยันนางให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ร่วมดูเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับทำเหมือนนางไร้ตัวตน ทว่า สายตาที่เหลียวมองนาง มันมิใช่เช่นการกระทำเอาเสียเลย
“ข้าต้องหาเจ้าให้พบ มิว่าอยู่หรือตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอย่ากำแหงมองข้ามคนเช่นข้า”