บท
ตั้งค่า

บทที่10

ยามเช้า ณ อุทยานหลวง

ฮองเฮาเจ้าเหลียน พร้อมด้วยเป่าฮูหยินกำลังเดินเก็บดอกไม้เพื่อไปทำน้ำอบชั้นเลิศ สองร่างงามเดินเคียงกันท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้และผีเสื้อหลากสี ชุดสีแดงเพลิงของฮองเฮาขับเน้นให้ความงามโดดเด่นอ่อนกว่าวัยอันแท้จริงของพระนางยิ่งนัก

ร่างบางของพระสนมผู้อ่อนเยาว์กว่าถึงกับหยุดนิ่งกับภาพตรงหน้า นางนั้นอ่อนวัยกว่าอีกฝ่ายมากนัก ไยความเปล่งปลั่งโดดเด่นยังดูเหมือนจะมิอาจเทียบอีกฝ่ายได้เล่า

‘หากเป็นข้าในชุดนั้น ข้าต้องงดงามกว่าท่านมากนัก ฮองเฮา ใต้หล้าต้องมนต์ในตัวข้าอย่างมิอาจมีผู้ใดปฏิเสธได้’

หญิงสาววัยแรกแย้มคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อสร้างกำลังใจให้แก่ตนเองแล้ว ก่อนที่เท้าบางจะก้าวอย่างแผ่วเบา ไปยังทิศทางของผู้เป็นใหญ่ในวังหลัง

“ทูลฮองเฮา พระนางเต๋อเฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ”

มือบางที่กำลังตัดช่อดอกไม้ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับไปมองยังนางกำนัลที่อยู่ด้านหลัง แล้วมองเลยไปเห็นหญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งยืนห่างออกไปพอสมควร

จูซือเหนียงนับถือในความอดทนขององค์หญิงต่างแคว้นผู้นี้ยิ่งนัก นางทำตัวอ่อนหวานไร้เดียงสาต่อสายตาผู้คนได้อย่างดีเยี่ยม จริตของสตรีมีครบถ้วน หากบุรุษใดได้ชิดใกล้ ยากนักจะถอนตัว ทว่าคงมิใช่บุรุษเช่นเกาจู หรือแม้แต่ฮ่องเต้ตัวจริงเองก็เช่นกัน ศึกรักคงชัดเจนว่าผู้ใดกำชัย แต่ศึกบ้านเมืองนั้นยังยากที่จะคาดเดา

“อืม! เตรียมน้ำชาด้วย”

ฮองเฮาจ้าวเหลียนทำเพียงเสียงในลำคอเป็นการอนุญาต ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยการให้จัดเตรียมน้ำชาเพื่อรับรองผู้มาใหม่

“เราไปนั่งพักกันก่อนเถอะนะ คนที่เจ้าอยากรู้จัก นางมาพอดี หึ ๆ”

“เพคะ แต่หม่อมฉันไม่เคยบอกนะเพคะว่าอยากรู้จักพระสนมคนใหม่” เป่าฮูหยินยังเอ่ยกระเง้ากระงอดใส่ผู้เป็นนายของตน

นางมิใช่แค่เพียงอดีตคนสนิท แต่อีกนัยหนึ่ง นางคือสหายของฮองเฮาผู้โฉมสะคราญตรงหน้านี้ด้วย ฉะนั้น นางจึงหาญกล้าที่จะแง่งอนกับสตรีผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดิน

การกระทำของเป่าฮูหยินเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากฮองเฮาจ้าวเหลียน ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมมาคว้ามือบางของอีกฝ่ายแล้วตบเบา ๆ ลงบนหลังมือของสหายตนอย่างเป่าฮูหยิน

“อย่าได้พูดดีไป มาเถอะ ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้วเช่นกัน”

“เพคะ หม่อมฉันเพียงห่วงใยในพระนางเท่านั้น”

สองร่างเดินเคียงกันไปยังศาลาพักที่เวลานี้มีชุดชาจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งด้านหลังมิไกลมากนัก ร่างของเต๋อเฟยก็เดินใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน

“นิ่งไว้เถิด สหายข้า เจ้าต้องมิทำตัวให้เด็กน้อยมากล่าวหาเอาได้ ว่าเรารังแก เข้าใจรึไม่”

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”

“ไม่มีผู้ใดผิด เพราะมันคือชะตากรรม สหายข้า”

จูซือเหนียงเลือกที่จะปิดการสนทนา ทั้งที่นางรู้ดีว่าเป่าฮูหยินนั้นรับคำเพียงเพราะมันคือความต้องการของนาง มิใช่เต็มใจจะยอมรับเรื่องบรรดาภรรยาอื่นของโอรสสวรรค์เลยแม้แต่น้อย

องค์หญิงกั๋วเชียงมองตามร่างระหงของสตรีสูงวัยกว่าที่ยังคงความงามเอาไว้เสมอด้วยความริษยาอยู่ภายในลึก ๆ เพราะกาลเวลามิอาจพรากความเยาว์นั้นไปได้เลยแม้แต่น้อย แม้นางจะเป็นถึงองค์หญิงของแคว้นตง ทว่า ทุกอำนาจที่ได้มาถือไว้ในมือ นางต้องฝ่าฟันมานับครั้งไม่ถ้วน มืออันบอบบางของนางนั้นจึงอาบไปด้วยกลิ่นคาวเลือดของพี่น้องร่วมสายเลือดที่ต้องสังเวยให้แก่อำนาจ

ร่างบางของพระสนมคนใหม่ก้าวถึงที่หมาย หญิงสาวหยุดยืนอยู่ด้านนอกศาลาเพื่อรักษาระยะที่เหมาะสม ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้แก่สตรีทั้งสอง

“กั๋วเชียงถวายบังคมเพคะฮองเฮา”

ร่างงามย่อกายทำความเคารพผู้สูงศักดิ์กว่าด้วยท่าทางอ่อนช้อยงดงาม ทุกกิริยาช่างดูราวหงส์น้อยที่กำลังอวดเบ่งความงามของตนอยู่ในที

“ตามสบายเถิด เต๋อเฟย”

“สุ่ยอี้ถวายบังคมเพคะ พระนางเต๋อเฟย”

เป่าฮูหยินลุกขึ้นย่อกายทำความเคารพผู้มีศักดิ์สูงกว่าตน แม้มิเต็มใจมากนัก แต่นางรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติดี ว่านางมิอาจทำตัวเทียบเทียมชายาของผู้นำแผ่นดินได้ นางเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา มีหรือจะกล้าต่อกรกับสายเลือดของเชื้อพระวงศ์แม้นจะมาจากต่างแคว้นก็ตามที

“เต๋อเฟย คนผู้นี้คือภรรยาในเจ้าเมืองเสิ่น นามสุ่ยอี้”

“ยินดียิ่งนักที่ได้รู้จักเจ้า แม่นางสุ่ยอี้”

“เป็นวาสนายิ่งแล้วเพคะพระสนม สุ่ยอี้เสียมารยาทนักที่มิได้เข้าเฝ้าพระนางให้เร็วกว่านี้เพื่อถวายพระพรเพคะ” เป่าฮูหยินยังคงวาจานอบน้อมอ่อนโยน

“มิเป็นไร เรายังมิทันได้เข้าพิธีอย่างเป็นทางการ เจ้าไม่ผิดที่ยังมิได้เข้าพบเรา”

“เต๋อเฟย เข้ามาดื่มชาเป็นเพื่อนข้าหน่อยจะเป็นไรหรือไม่”

ด้วยวัยที่ผ่านโลกมามากของฮองเฮา มีหรือที่นางจะแปลความในของคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ จึงเอ่ยเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาก่อนที่คนของนางจะทำให้ตนเองตกอยู่ในที่นั่งลำบากหากล่วงเกินพระสนมคนงาม

ดอกไม้งามที่เพิ่งผลิดอกยอมต้องการอวดโฉมให้ผู้คนชื่นชม หากรีบร้อนไปเด็ดดอมอาจพลาดถูกหนามแหลมคมทิ่มตำมือให้ได้เลือด

‘ดอกไม้เช่นกั๋วเชียง จัดไว้ในหมู่มวลดอกไม้พิษ เจ้าอย่าได้หลงเข้าไปใกล้จะดีกว่า สุ่ยอี้’

จูซือเหนียงชำเลืองมองไปทางเป่าฮูหยินที่ยืนยิ้มน้อย ๆ ทว่า ภายใต้สีหน้างามนั้นดูออกได้ไม่ยากเลยว่าสตรีตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใด เป่า

ฮูหยินนั้นคงลืมเลือนชีวิตในวังหลวงไปมากทีเดียว ถึงได้เก็บความรู้สึกทั้งมวลเอาไว้ไม่มิดอย่างที่ควรจะเป็น

“กั๋วเชียงมิบังอาจขัดพระประสงค์ของฮองเฮาเพคะ”

เมื่อพระสนมคนใหม่ก้าวเข้ามาภายในศาลา เป่าฮูหยินจำต้องขยับกายถอยออกไปยืนยังเบื้องหลังของผู้เป็นนาย ด้วยฐานะของนางมิอาจร่วมโต๊ะได้หากแขกของผู้เป็นนายมิอนุญาตออกมา

“เป่าฮูหยิน นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกันเถิด ข้าเป็นเพียงแขกของฮองเฮา มิบังอาจที่จะปฏิเสธร่วมโต๊ะกับสหายของพระนางได้ จริงรึไม่เพคะ ฮองเฮา”

“ขอบใจเจ้ามากเต๋อเฟย ที่มิรังเกียจสหายของข้า นั่งลงเถิด สุ่ยอี้ ประเดี๋ยวชาจะเย็นเอาเสียก่อน”

จูซือเหนียงเลี่ยงที่จะตอบคำถามของผู้อ่อนอาวุโสกว่าโดยการเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในที เมื่อองค์หญิงผู้เลอโฉมจงใจว่านางโดยใช้เป่าฮูหยินเป็นโล่กำบัง ฮองเฮาที่มาจากสามัญชนนั้นย่อมดูด้อยอำนาจในสายตาของสตรีที่เกิดจากสายเลือดสูงส่ง

‘เด็กน้อย อยากก้าวเป็นใหญ่ แต่ไร้เดียงสาไปสักหน่อยกระมัง’

“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยเพคะพระนางเต๋อเฟย”

เป่าฮูหยินย่อกายงดงาม ก่อนจะขยับกายนั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชา รอยยิ้มของสตรีทั้งสามต่างสดใสราวดอกไม้แรกแย้ม ทว่า ทุกคำพูดกลับเชือดเฉือนกันอยู่ในที จนเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งชั่วยาม

“ทูลฮองเฮา กั๋วเชียงจำต้องขออำลาก่อนเพคะ หม่อมฉันต้องไปจัดเตรียมเรื่องชุดในวันงานอีกมากอยู่ หวังว่าพระนางจะมิกริ้วหม่อมฉันนะเพคะ”

“ไยข้าต้องโกรธเคืองเจ้าด้วยเล่า ไปเถอะ ข้าเองก็อยากเอนหลังแล้วเช่นกัน”

ร่างบางลุกขึ้นย่อกายลงต่ำ ก่อนจะหมุนกายจากไปด้วยท่าทางดุจเทพธิดา เพียงหันหลังให้แก่ศัตรู มุมปากอวบอิ่มได้ยกขึ้นยิ้มหยันเล็กน้อย

‘มีความสุขเสียให้พอ ก่อนที่พวกเจ้าจะหมดโอกาสได้หายใจอีกต่อไป หึ ๆ’ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความปีติภายในใจพองโตขึ้นอย่างฉับพลัน

“งดงามใช่รึไม่ บุปผาสวรรค์ดอกใหม่ของฝ่าบาท”

สายตาคมทว่าฉายแววอ่อนหวานทอดมองไปยังสาวน้อยวัยแรกแย้มที่คิดปีนป่ายขึ้นสู่หลังเสือ

‘ช่างน่าเสียดายความงาม ของเจ้านักองค์หญิงกั๋วเชียง’

องค์หญิงผู้นี้วางหมากในกระดานได้ดีทีเดียว แต่ทว่า หญิงสาวยังมีช่องโหว่อยู่อีกมากหากผู้สูงวัยกว่าเช่นนางจะใช้รังแก เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะนัก ฮองเฮาจ้าวเหลียนจึงปล่อยเลย ทำเป็นเพียงมองมิเห็นมันเช่นสตรีโง่งมผู้หนึ่ง

“ถึงจะงดงามเพียงใด แต่หากมิรู้จักสิ่งควรมิควรก็ไร้ประโยชน์เพคะ”

ผู้ดำรงตำแหน่งฮองเฮาทำได้เพียงหัวเราะเบา ๆ กับอคติที่เป่าฮูหยินมีต่อเต๋อเฟย ทั้งที่ยังมิเคยแม้แต่พบปะกันสักครั้ง ในสายตาของเป่าฮูหยินนั้นถือว่าเต๋อเฟยดูหมิ่นในอำนาจของผู้นำแห่งวังหลัง อดีตนางกำนัลที่เคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นที่สุดเช่นนาง มีหรือเมื่อเห็นบุปผาดอกใหม่ชูช่อเหนือผู้อื่นโดยมิรู้จักสถานะของตน ซ้ำวันนี้ยังพยายามใช้วาจาหมิ่นเกียรติผู้เป็นนายตนอย่างจงใจโดยใช้นางเป็นทางผ่าน ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองแก่เป่าฮูหยินยิ่งนัก

“นิ่งบ้างก็ใช่ว่าเราไร้อำนาจ แต่มันยังไม่ถึงเวลา ดอกไม้ที่ยังแรกแย้ม ย่อมคิดเสมอว่าตนสูงค่า จะวัดกันให้แน่แท้นั้นต้องรอเมื่อโรยรา จึงจะรู้แน่ชัดว่าผู้ใดจะยังคงรักษากลิ่นหอมเย้ายวนชวนดอมดมเอาไว้ได้อยู่ต่างหากเล่า”

คำเปรียบเปรยของฮองเฮานั้นบอกชัดเจนว่า ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริงในวังหลังแห่งนี้ เป่าฮูหยินยิ้มกว้าง จนคนมองยังรู้สึกสดชื่นตามไปด้วย

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”

“นางยังเยาว์มากนัก หากเจ้าถือสากับคำพูดของนาง นั่นเท่ากับเจ้านำพาตนเองเข้าไปอยู่ในกระดานหมากของนาง ข้ามิอาจอยู่ปกป้องเจ้าและสกุลเป่าตลอดไปได้ เลี่ยงได้ก็จงทำ เข้าใจหรือไม่”

“สุ่ยอี้ทำให้พระนางลำบากแล้วเพคะ”

มือบางยกขึ้นเล็กน้อย เป็นอันว่าการสนทนานี้สมควรหยุดลงได้แล้ว เพราะเวลานี้ พวกนางอยู่ในที่แจ้ง เหล่าขันทีและนางกำนัลใช่จะเป็นคนมิมักใหญ่ใฝ่สูงเสียเมื่อไหร่ ทุกถ้อยคำที่พาดพิงถึงอีกฝ่ายใช่จะอยู่แค่เพียงศาลาแห่งนี้ และนั่นมันอาจเป็นชนวนของความขัดแย้ง ซ้ำอาจเป็นการเปิดช่องให้ศัตรูนำกลับมาเล่นงานฝ่ายตนเอาได้

ในเวลาเช่นนี้ จูซือเหนียงมิอาจไว้วางใจผู้ใดได้ แม้แต่สตรีข้างกายนางในตอนนี้ก็เช่นกัน ความภักดีที่แอบแฝงนั้นมีมากในวังหลวง การไม่ประมาทย่อมเป็นการดีที่สุดในทุกก้าวย่าง

ห้าวันถัดมา

คณะของหลิวกุ้ยเฟยเคลื่อนขบวนมาได้เกือบครึ่งทางแล้วเช่นกัน ด้วยเหตุผลบางประการทำให้การเดินทางเหมือนถูกดึงให้ล่าช้ากว่าที่ควร แม้จะมีแม่ทัพทั้งสองพร้อมขุนนางใหญ่เช่นชูถงติดตามเพื่อส่งเสด็จก็ตามที ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้ดีคงหนีไม่พ้นราชครูหลิวและแม่ทัพใหญ่เช่นหยางซานซิน

แม้ทุกคนในคณะเดินทางจะดูมิมีสิ่งใดผิดปกติ ทว่า ความหวาด

ระแวงก็ฉายชัดให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเสนาบดีเช่นชูถงที่ถูกจับตามองมากกว่าผู้ใด แต่เขากลับมิใส่ใจกับสายตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย

“ความหวาดระแวงควรเก็บเอาไว้ภายในจะมิดีกว่าหรือท่านราชครู ยิ่งทำเช่นนี้จะเสียการใหญ่เอาได้”

คำพูดเนิบช้าออกมาจากปากของแม่ทัพหนุ่มที่ควบขี่ม้าเคียงข้างชายชรา โดยมิได้หันไปมองคนข้างกาย มีเพียงคำพูดเท่านั้นที่ส่งผ่านริมฝีปากหนา

“เพราะความวางใจมิใช่รึ ทุกอย่างถึงได้เป็นเช่นนี้ เจ้ามิได้สูญเสียเช่นข้าย่อมพูดได้”

ราชครูหลิวพูดลอดไรฟันออกมาด้วยน้ำเสียงเจือความรวดร้าว เมื่อนึกถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวที่จากไป ซ้ำยังไม่อาจจัดงานศพให้ได้อย่างสมเกียรติของนาง

“เช่นนั้นรึ มิใช่ความเขลาของนางหรือที่ทำให้ข้ามิหลงเหลือสิ่งใดเลยในตอนนี้”

กล่าวจบ ชายหนุ่มได้กระตุ้นม้าจากไปด้วยอาการนิ่งสงบ ต่างจากชายชราที่สั่นเทาไปทั้งกายด้วยหลากหลายอารมณ์ปนเปยิ่งนัก เวลานี้ เขาไม่มีอำนาจใดแล้วในมือ นอกจากยอมอยู่ภายใต้เงื้อมมือของคนที่อยู่ในคราบของหยางซานหลางผู้นี้เท่านั้น ซึ่งแม่ทัพหนุ่มมิได้มีสายเลือดของตนเองเฉกเช่นในอดีต ฉะนั้น มิว่าจะกล่าวสิ่งใดจำต้องระวังให้มากขึ้น

ชูถงเอนกายอยู่บนรถม้า ด้วยฐานะเขาในตอนนี้มิจำเป็นต้องตากแดดบนหลังม้าก็ย่อมทำได้ ดังนั้น เมื่อการเดินทางผ่านมาได้เพียงสามวันแรก เขาก็เลือกที่จะเข้ามาเอนกายบนรถม้าแทนการอยู่บนหลังม้า ทุกอย่างสำหรับเขาในเวลานี้คือความอยู่รอด

‘หมากทุกกระดานย่อมมีการพลิกแพลงเพื่อประโยชน์อันล้ำค่าในการเดิน’

รอยยิ้มมุมปากขยับยกขึ้นเล็กน้อย โดยมิได้ขยับเปลือกตาให้เปิดขึ้นแม้แต่น้อย

หยางซานซินซึ่งอยู่ท้ายขบวนยังคงรักษาสีหน้าให้ดุจเดิมได้เฉกเช่นวันวาน ทว่า ใจนั้นหวนนึกถึงร่างไร้ลมหายใจของสตรีอันเป็นรักเดียวมิเสื่อมคลาย เขาพลาดสิ่งใดไป เรื่องเช่นนี้จึงได้เกิดขึ้นกับนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามั่นใจว่าปกป้องนางมาด้วยดีตลอด แล้วไยวันนี้จึงมิเป็นเช่นนั้น

เขามิอาจสบตาหลิวกุ้ยเฟยที่นั่งสง่างามภายในรถม้า ณ เวลานี้ได้อีกต่อไป รูปกายภายนอกของนางอาจเป็นคนรัก ทว่า ภายใต้ใบหน้านั้นมิใช่นางอีกแล้วนั่นเอง

‘เมิ่งชี ไยเจ้าทอดทิ้งพี่ไปเช่นนี้ มันผู้ใดที่พรากเจ้าไป พี่จะมิละเว้นมันแม้แต่คนผู้เดียว’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel