บทที่9
ม้าหินนั่งเล่น บริเวณสวนหย่อมหน้าเรือน
หญิงสาวในชุดสีฟ้ากำลังชงชาด้วยท่าทางอ่อนช้อย รอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้านวล ริมฝีปากแต่งแต้มสีสันชวนมอง สองข้างแก้มเพิ่มเติมความหวานด้วยสีชมพูบางเบา เปลือกตาก็ใช่จะปราศจากสิ่งเติมแต่ง รวม ๆ แล้วหญิงสาวผู้มาเยือน จัดเต็มมาตั้งแต่หัวจรดเท้า เครื่องประดับล้วนมีค่าในสายตาของผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
แค่เพียงเปิดประตูก็พบว่ามีแขกมาเยือน นั่งหัวเราะคิกคักอยู่กับสามีที่เธอกำลังจะทำให้เป็นเพียงอดีตในไม่ช้า ซึ่งชายหนุ่มได้นั่งทอดอารมณ์ผ่อนคลาย เคียงคู่แขกสาวอยู่ในเรือนของเธอและเขา แค่นี้ หลี่ถิง
ก็เอือมระอาขึ้นมาทันที
หยางซานหลางที่กำลังนั่งอ่านตำรา คอยชำเลืองมองหญิงสาวที่กำลังชงชาชั้นเลิศ ซึ่งนางเป็นผู้นำมามอบให้ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ หากสตรีข้างกายคือนาง เขาคงสุขใจมากกว่านี้ แต่ด้วยเหตุผลมากมาย คนที่นั่งในตำแหน่งนายหญิงกลับกลายเป็นอีกคนที่เสแสร้งมารยา
ใช่แล้ว...เขายอมรับว่าโม่ไป๋หลานชอบพอเขาอยู่มาก แต่โดยรวมแล้วนางไม่เหมาะที่จะก้าวเคียงคู่ไปกับเขาแม้แต่น้อย
ถ้ามิใช่เพราะฐานะนางคือท่านหญิงสูงศักดิ์ เขาคงไม่ต้องรอคอยให้นางเอ่ยปากอนุญาตเรื่องการมีอนุเพิ่มอีกสักคน แต่จะให้หญิงสาวตรงหน้ามานั่งในตำแหน่งรองจากสตรีไร้ค่าผู้นั้น เขาก็มิอาจรับได้เช่นกัน
ดูอย่างตอนนี้สิ สายมากแล้ว แม้แต่เงาของนางก็ไม่ทันเห็น คราแรกที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออกมาแล้ว แต่ใช่ว่าโม่ไป๋หลานจะอยู่เพียงลำพัง เพราะตั้งแต่ย่ำรุ่ง เขาเห็นมีเพียงสาวใช้ที่เดินเข้าออกอยู่หลายรอบ
เสียงเงียบไปเช่นนี้คงไม่พ้นเป็นหรู่อี้ออกมาอีกเช่นเคย
โม่ไป๋หลานก้าวออกจากห้องพร้อมใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มใด ๆ วงหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อยแค่พองาม ร่างระหงเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มอ่อนหวานอย่างมีจริต มองแค่นี้ หญิงสาวก็เข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้นแล้ว เท่าที่ความทรงจำของเจ้าของร่างมีให้แก่เธอนั้น
การแต่งงานเกิดขึ้นจากความรักของฝ่ายหญิงแต่เพียงผู้เดียว สำหรับสามีนั้น นางเป็นเพียงสิ่งที่ควรมีไว้ประดับบารมี และหนุนนำอำนาจของฝ่ายชายเท่านั้น สองแขนแกร่งยังมิเคยแม้แต่โอบกอดโม่ไป๋หลานสักครั้ง
เจ้าของร่างอาจชอกช้ำใจ แต่กับหลี่ถิงมันคือพรอันประเสริฐ นั่นเท่ากับว่าถ้าเธอมีโอกาสอยู่ในร่างนี้อีกยาวนาน แล้วได้หย่าขาดจากแม่ทัพผู้นี้ หากแต่งงานอีกครั้ง สามีในอนาคตก็เท่ากับโชคดียิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ใบหน้างามก็ซับสีเลือด พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ
จีกวานฮวาที่หันหน้ามาทางโม่ไป๋หลานได้ส่งสายตาอย่างผู้ชนะมาให้ หรู่อี้ถึงกับหน้าตึงด้วยความไม่พอใจ ที่เห็นญาติของผู้เป็นนายไร้ความยำเกรงต่อผู้มีศักดิ์เป็นถึงภรรยาเจ้าของเรือน
หลี่ถิงเอื้อมจับมือของสาวใช้ข้างกายเอาไว้ ก่อนจะบีบเบา ๆ เป็น
การปลอบใจ
“เย็นไว้หรู่อี้ ยิ่งเจ้าแสดงอาการมิพอใจมากเท่าไหร่ นั่นเท่ากับนางชนะ แต่หากเจ้านิ่งเฉย ผู้ชนะในเกมนี้คือพวกเรา”
หลี่ถิงพูดเบา ๆ กับคนข้างกาย เธอได้ยินเสียงลมหายใจแรง ๆ ของ
หรู่อี้ แค่นี้ก็บอกได้ถึงอารมณ์ของนางได้โดยไม่ต้องเอ่ยปากออกมา
ดังนั้น เธอจำต้องทำให้นางสงบลงก่อนจะเผลอทำให้ตัวนางเองถูกคนอยุติธรรมสั่งลงโทษอีก เกมนี้ เธอไม่จำเป็นต้องชนะ แต่จะขอยืนอย่างสง่าบนความเจ็บปวดของคู่ต่อสู้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
คำว่าน้ำใจนักกีฬาใช้ไม่ได้ในยุคนี้ และเธอก็ไม่คิดที่จะใช้กับคนแบบนี้เช่นกัน
หรู่อี้พยักหน้าน้อย ๆ เป็นการตอบรับในสิ่งที่เจ้านายบอก
“หรู่อี้จะจดจำเอาไว้เจ้าค่ะ”
“ดีมาก! เราไปทักทายท่านแม่ทัพกันสักหน่อย ค่อยออกไปซื้อของกัน”
หลี่ถิงในร่างโม่ไป๋หลานไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ให้อีกฝ่ายเห็นเลยแม้แต่น้อย นอกจากรอยยิ้มที่ดูจะงดงามตามธรรมชาติ
จีกวานฮวาแม้ปากจะพูดจาหวานหูอยู่กับชายหนุ่ม แต่ดวงตากลับมองเลยไปด้านหลังของเขาแทน วันนี้ โม่ไป๋หลานดูงดงามกว่าที่เคย บนศีรษะมีเพียงปิ่นประดับพลอยสีม่วงเพียงอันเดียว ชุดที่ใส่แม้จะไร้สีสัน แต่เมื่อสวมกับเสื้อคลุมลายดอกเหมยลิ่วลม มันกลับดูสวยสง่ากว่าที่เคย รวมทั้งใบหน้าของโม่ไป๋หลานยังได้แต่งแต้มแค่เพียงริมฝีปากด้วยสีชาดชมพูอมส้ม ซึ่งแปลกตาเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินใกล้เข้ามา จีกวานฮวาจึงดึงสายตากลับมา และใช้มันเรียกความสนใจจากชายหนุ่มแทน จีกวานฮวายื่นจอกชาให้ชายหนุ่มที่ตอนนี้ได้วางตำราลงบนโต๊ะแล้ว
หยางซานหลางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือรับถ้วยชามาไว้ในมือ
“ขอบใจเจ้ามากกวานเอ๋อร์”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งนักในความรู้สึกของสตรีทั้งสามที่ได้ร่วมรับฟังพร้อมกัน
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ พี่ซานหลาง”
จีกวานฮวาตอบกลับด้วยความเขินอาย ก่อนจะช้อนสายตามองเลยไปยังหญิงสาวอีกสองนาง
มุมปากของหลี่ถิงบิดขึ้นเล็กน้อย เธอไม่ได้รู้สึกหึงหวงอะไรเลยสักนิด แต่จะให้ปล่อยผ่านไปก็เห็นจะไม่เป็นการดี เพราะตอนนี้ เธอยังนั่งในตำแหน่งภรรยาของชายผู้นี้อยู่
‘เมื่อเสนอมา พี่จะสนองให้นะจ๊ะ’
หากใครได้ยินสิ่งที่เธอคิด คงพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเป็นตัวประหลาดแน่นอน
จากเสียงพูดคุยกันเบา ๆ อยู่ด้านหลัง แม่ทัพหนุ่มมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นโม่ไป๋หลานอย่างแน่นอน เพราะในเรือนหลังนี้ไม่มีสาวใช้อื่น นอกจากหรู่อี้ เขาจึงไม่ต้องเดาว่าผู้ใดพูดคุยกันอยู่ตอนนี้ แต่แม่ทัพหนุ่มหาสนใจไม่ ชายหนุ่มได้ยกถ้วยชาขึ้นเป่าเบา ๆ เพื่อที่จะดื่ม
“นั่น ๆ งู! มันเลื้อยเข้าไปใต้กระโปรงน้องสาวแล้ว”
โม่ไป๋หลานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดัง พร้อมทั้งส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นกลัว
“กรี๊ดด!”
เพล้ง!
จีกวานฮวาเผลอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างแท้จริง หรือจงใจที่จะแสร้งหวาดกลัวก็มิรู้ เพราะในเมื่อตอนนี้ หญิงสาวได้กระโดดเข้าสวมกอดกับสามีของโม่ไป๋หลาน ส่วนผู้เป็นภรรยายืนเอามือปิดปาก น้ำตาคลอหน่วยด้วยความสะเทือนใจกับภาพที่ถ้วยชาหลุดจากมือของสามี แล้วลุกขึ้นโอบรัดหญิงอื่นต่อหน้า โม่ไป๋หลานใช้ชายเสื้อซับหน่วยตาเบา ๆ ศีรษะเอนพิงที่ไหล่ของคนสนิท
‘ดีนะที่เอาน้ำมันหอมป้ายตาทัน หึ ๆ’
หยางซานหลางหันไปมองภรรยาด้วยสายตาขุ่นเคืองใจ เขามั่นใจว่าไม่เห็นงูหรือแมลงสักตัว
‘เป็นนางที่สร้างเรื่องสินะ’
มือหนากระชับร่างบางในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เมื่อรับรู้ถึงอาการตัวสั่นเทาของอีกฝ่าย
จีกวานฮวานึกขอบคุณญาติของตนอยู่ภายในใจ แม้จะรับรู้ถึงใจของชายหนุ่มดีว่ามันมีเพียงนาง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่กำลังมอบความอบอุ่นให้อยู่ในตอนนี้ ไม่เคยล่วงเกินนางมากกว่าการจับมือ ครั้งนี้นับว่านางชนะโดยมิต้องลงแรง
‘คนโง่ทำยังไงก็ไม่มีวันฉลาดขึ้นมาได้อยู่ดี’
หลี่ถิงแอบยิ้มอยู่ภายใต้แขนเสื้อที่ปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่งเอาไว้ มันอาจดูโง่ในสายตาศัตรู และร้ายกาจในความคิดของสามี แต่มันเป็นผลดีกับเธอที่จะได้เป็นอิสระเร็วขึ้นโดยไม่ต้องหาข้ออ้างมากมายที่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดมากพอที่จะขอหย่า แต่การกระทำของคนทั้งคู่มันจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ซึ่งไม่ต้องดิ้นรนหาให้เหนื่อย
วันนี้ คนที่เห็นอาจมีแค่สองคน แต่วันหน้าจะมีมากกว่านี้ เธอรับรองได้ เพราะคนที่ชอบเสแสร้งมักพลาดด้วยความดีใจและหลงระเริงในตัวเองจนลืมตัวทำในสิ่งที่ไม่เหมาะและมิควรอยู่บ่อยครั้ง แค่ทุกครั้งไม่มี
ใครกระตุ้นมันเท่านั้นเอง
“เป็นสตรีที่ไร้ยางอาย แล้วยังทำตัวร้ายกาจยิ่งนัก กลั่นแกล้งผู้อื่น ซ้ำยังทำต่อหน้าข้า เจ้าไม่มีความยำเกรงสามีเช่นข้าเลยหรืออย่างไร โม่ไป๋หลาน”
หยางซานหลางพูดขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อมองเห็นโม่ไป๋หลานแสดงอาการทุกข์ระทม ไหนจะหญิงสาวที่ยังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ผู้หนึ่งน่าสงสาร ส่วนอีกคนมันน่าจะจับฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ยิ่งนัก จะมีสตรีใดไร้ยางอายได้เท่ากับนางอีกหรือไม่ กล้ารังแกแม้แต่คนที่หวังดีกับนางเช่นนี้
“อย่างไรที่ว่าไร้ยางอายเจ้าคะท่านพี่ แล้วน้องกลั่นแกล้งผู้ใดกัน ก็ในเมื่อข้าเห็นกับตาว่ามีงูจริง ๆ หากมันมิใช่ แล้วไยท่านไม่คิดบ้างล่ะเจ้าคะ ว่าข้าเองก็ยังมิหายดีจากอาการเจ็บป่วย ดวงตาอาจยังพร่ามัวไปบ้างก็เป็นได้”
หลี่ถิงเองก็ใช่จะยอมไปเสียทุกอย่าง คำพูดของเธอมันไม่มีทางแทรกเข้าไปในใจของคนตรงหน้าให้สำนึกรู้ได้อยู่แล้ว ว่าเวลานี้ ตัวเขาผู้เป็นสามีสมควรที่จะใส่ใจผู้ใดกันแน่ ในเมื่อความรู้สึกของเขามันมีให้แต่เพียงคนในอ้อมแขนเท่านั้น ต่อให้เป็นเธอหรือโม่ไป๋หลานตัวจริงล้มเจ็บลงต่อหน้า อาการเจียนตายอยู่ตรงนี้ เขาก็จะไม่มีวันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหรือชายตามองด้วยซ้ำไป
“เจ้ายังจะมาแก้ตัวอีกหรือ หากเจ็บป่วยจริง เจ้าคงมิลุกขึ้นมาแต่งตัวเสียงดงามแล้วออกมาเดินอยู่เช่นนี้หรอกนะ”
เสียงที่ปนเปไปด้วยความโกรธ มันทำให้หยางซานหลางพูดชื่นชมภรรยาโดยมิรู้ตัว ทำให้จีกวานฮวานิ่งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะใช้แขนที่คราแรก
วางข้างลำตัวอยู่โอบรอบเอวชายหนุ่ม
“ท่านพี่ แม้ข้าจะงามหยดย้อย แต่ก็มิอาจเป็นที่พึงใจท่านอยู่ดีมิใช่หรือเจ้าคะ แล้วข้าจะมารยาเพื่ออันใดกันเล่าเจ้าคะ”
หยางซานหลางถึงกับใบหน้าชาไปชั่วขณะ เมื่อคำพูดของเขาถูกหญิงสาวย้อนกลับมา ทุกถ้อยคำช่างบาดลึกใจของใครอีกคนยิ่งนัก
หลี่ถิงไม่คิดจะเสียเวลากับชายหญิงคู่นี้ จึงหวังจะเดินผ่านเลยทั้งสองไป