บทที่5
ตุบ! ตับ!
เสียงดังลอดออกมาจากลานฝึกทหารของจวนเข้าสู่โสตประสาทของหญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่งมิได้ส่งเสียงหรือสัญญาณว่ามีตัวตนอยู่ตรงนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเวลานี้ ฮูหยินน้อยของบ้านได้มายืนฟังอยู่ยังหลังประตูทางเข้าลานฝึก ซึ่งตอนนี้ ทุกคนรวมกันอยู่ด้านในเพื่อดูการลงโทษสาวใช้ของนาง
สองมือกำหมัดแน่น จนเส้นเลือดปูดโปนอย่างเด่นชัด ความรู้สึกมันฝังใจของหลี่ถิงเรื่องสามีกับน้องสาวแอบเป็นชู้กัน จนถึงขนาดร่วมกันฆ่าเธอ
หญิงสาวยังไม่รู้หรอกว่าน้องสาวเจ้าของร่างนี้จะเหมือนกับเจสซิก้าและราฟาเอลหรือไม่ แต่ทางที่ดีเธอไม่ควรประมาทกับทุก ๆ เรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจของผู้หญิง มันน่ากลัวและซับซ้อนเป็นที่สุด การแย่งชิงความรักมักจบลงด้วยเลือดและการสูญเสีย
‘เธอต้องไม่อ่อนแอ ถิงถิง สู้ ๆ’
หลี่ถิงปลอบใจตัวเอง ก่อนที่เธอจะก้าวไปเผชิญกับความจริงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
หลิวเจินเจิน ฮูหยินใหญ่ของบ้านผู้เป็นมารดาของแม่ทัพหยางซานหลางก็เริ่มทนฟังมิได้แล้วเช่นกัน สะใภ้คนนี้ นางเลือกมาด้วยตนเอง จะอย่างไรนางมั่นใจว่าโม่ไป๋หลานไม่ได้ทำอย่างที่บุตรชายกล่าวหาแน่นอน
เมื่อความอดทนหมดลง ร่างระหงของหลิวเจินเจินจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาบุตรชายและญาติของลูกสะใภ้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย นางอาบน้ำร้อนมาก่อน ไยจะมองสายตาของทั้งคู่มิออก ว่ามันเกินคำว่าพี่เขยกับน้องภรรยา
แต่เพราะนางติดที่สามีจึงจำต้องทนนิ่งไว้ จะให้นางเกรี้ยวกราดเช่นสตรีไร้การอบรม นางก็มิอาจทำได้เช่นกัน อีกอย่าง บุตรชายก็ยังรักษาระยะที่เหมาะสมในการพบปะพูดคุยกับจีกวานฮวาอยู่มาก ซึ่งมันยังไม่ถึงขั้นต้องตักเตือนหรือห้ามปรามกัน และเป็นนางเองที่คอยบอกมิให้สะใภ้รักยอมรับจีกวานฮวามาเป็นอนุของบุตรชาย
นางเป็นสตรีคนหนึ่ง ไยจะมิรู้ว่าหากจีกวานฮวาแต่งเข้ามาในจวน ลูกสะใภ้ของนางต้องเจ็บปวดแค่ไหน
“ซานหลาง แทนที่เจ้าจะเอาเวลามาปลอบขวัญผู้อื่นอยู่แบบนี้ เจ้าต้องให้แม่บอกหรือไม่ ว่าสิ่งที่ลูกสมควรทำตอนนี้คืออะไร และต้องอยู่ที่ไหน”
เมื่อถูกมองด้วยหางตาเสมือนการดูหมิ่นกลาย ๆ จากมารดาของชายหนุ่ม ทำให้จีกวานฮวาจำต้องหลบไปอยู่ด้านหลังของหยางซานหลาง
ด้วยท่าทางหวาดกลัว ยิ่งเพิ่มความมิพอใจให้แก่ฮูหยินใหญ่แห่งสกุลหยาง
‘หึ! มารยาเจ้าใช้ได้แค่กับผู้อื่น ยกเว้นคนเช่นข้า จีกวานฮวา’
หลิวเจินเจินคิดอยู่ในใจ พร้อมกับพยายามข่มกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองที่มีต่อหญิงสาวเอาไว้ให้ลึกที่สุด
“ท่านแม่ เมื่อไหร่จะเลิกเข้าข้างไป๋หลานสักที ท่านมักเชื่อการเสแสร้งของนางเหมือนคนตาบอดยิ่งนัก” หยางซานหลางตัดพ้อมารดาอยู่ในที
“ใช่ ลูกรัก แม่มันตาบอด แล้วคนตาดีเช่นเจ้าล่ะ ทำไมถึงมองไม่เห็นความจริงเสียบ้าง” พูดจบหลิวเจินเจินได้สะบัดใบหน้าไปอีกทางด้วยความขัดเคืองใจเป็นที่สุด
หรู่อี้เป็นสาวใช้ที่ซื่อสัตย์มาตลอด แล้วไยนางต้องมารับกรรมในสิ่งที่นางไม่ได้ทำด้วยเล่า แม้นางจะเป็นใหญ่ในบ้าน แต่ก็มีหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อย และการเงินบ่าวไพร่เท่านั้น ส่วนเรื่องเช่นนี้จำต้องให้สามีและ
บุตรชายเป็นผู้ตัดสิน
“ท่านแม่อย่าได้ถือโทษพี่ซานหลางเลยนะเจ้าคะ เป็นเพราะกวานเอ๋อร์ไม่ดูแลพี่ไป๋หลานให้ดีเองเจ้าค่ะ” จีกวานฮวาเอ่ยออกมาในที่สุด เมื่อเห็นมารดาของชายหนุ่มกล่าวหาว่าหยางซานหลางบกพร่องในการดูแลภรรยา
“คุณหนูจีกวานฮวา ไม่มีผู้ใดสอนเจ้าหรืออย่างไร ว่าหากมิใช่เรื่องของตนเอง อย่าได้เอ่ยปากสอดแทรก เจ้าช่างต่างจากไป๋หลานของข้ายิ่งนัก ที่รู้จักคำว่ามารยาท สมกับเป็นสตรีชั้นสูง อีกอย่าง ไป๋หลาน นางโตแล้ว ไยยังต้องให้เจ้าดูแลด้วย ปกตินางอยู่ในจวนโดยไม่มีเจ้าแวะเวียนมา แม้แต่รอยมดกัดยังไม่เคยเกิดขึ้นกับนางสักครา”
จีกวานฮวาถึงกับใบหน้าถอดสีเมื่อถูกเปรียบเทียบกับญาติผู้พี่อย่างตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อม หรือรักษาหน้าของนางจากมารดาของชายหนุ่ม ทุกคำพูดบ่งบอกว่านางคือคนที่เป็นต้นเหตุของทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับโม่ไป๋หลาน
หยางซานหลางทำเพียงตบเบา ๆ ลงบนหลังมือของหญิงสาวที่กำลังจับชายแขนเสื้อของเขาอยู่ในตอนนี้
“อย่าคิดมากกวานเอ๋อร์ ท่านแม่แค่กำลังสับสนและเป็นกังวลที่
ไป๋หลาน อาจไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง”
หยางซานหลางเอี้ยวตัวไปพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน และแก้ต่างให้แก่มารดาไปในทีด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไร เขาก็ไม่อยากให้ผู้ใดมาตำหนิมารดาของเขาได้เช่นกัน
“อ้อ! อีกเรื่องหนึ่ง...คุณหนูจีกวานฮวา เจ้าควรใช้คำที่เรียกข้าให้ถูกต้องด้วย คำว่าแม่เรียกได้เฉพาะบุตรชายและลูกสะใภ้เท่านั้น คนนอก...ควรใช้คำว่า ฮูหยิน จึงจะถูกต้อง หวังว่าเรื่องแค่นี้ เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่”
ใบหน้าของจีกวานฮวาซีดเผือดลงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อถูกตอกย้ำถึงสถานะของนางภายในจวนแห่งนี้ ก่อนจะช้อนสายตาที่มีน้ำใส ๆ เอ่อคลออยู่ในดวงตาขึ้นมองชายหนุ่ม
หยางซานหลางเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน เพราะหากเขาตั้งแง่กับมารดามากเท่าไหร่ หญิงสาวก็ยิ่งจะลำบากใจมากเท่านั้น
เพราะภรรยาจอมมารยาของเขาที่ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด จึงทำให้มารดาของเขาต่อว่าญาติผู้น้องของภรรยา ซึ่งนับว่าเป็นคำพูดที่รุนแรงอยู่มิน้อย และเขาไม่อาจเถียงมารดาได้ ในเมื่อสิ่งที่ผู้เป็นแม่เอ่ยมานั้น เรียกได้ว่าไม่มีสิ่งใดผิดเลยสักนิดเดียว
ส่วนคนที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกพอจะจับใจความได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่มากเท่าที่ควร แต่เสียงโบยที่ยังคงดังมาเป็นระยะ หากเธอยังมัวโอ้เอ้อยู่ คงได้มีคนตายขึ้นมาจริง ๆ แน่
เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างบางรีบก้าวเข้าสู่ด้านในด้วยฝีเท้าเบาดุจปุยนุ่น มิใช่ว่าเธอเก่งกาจอะไร แต่เพราะร่างกายที่อ่อนแรงต่างหาก ที่ทำให้เดินแล้วไม่มีเสียง
เมื่อผ่านประตูลานฝึกเข้ามาได้เพียงเล็กน้อย หลี่ถิงก็ต้องหยุดชะงักเสียก่อน เมื่อเสียงโบยหยุดลง ก่อนจะได้ยินเสียงคนพูดขึ้น
“เรียนท่านแม่ทัพ นางสลบไปแล้วขอรับ”
ทหารที่รับหน้าที่โบยหรู่อี้ได้ก้าวเข้าไปรายงานแก่ท่านแม่ทัพ
หยางซานหลางด้วยอาการเกร็งอยู่เล็กน้อย ด้วยตอนนี้ เจ้านายของบ้านกำลังมีปากเสียงกันอยู่ หากรอก่อนก็เกรงว่าจะถูกตำหนิเรื่องมิรายงานผล
ให้ทราบ
“ทำให้นางฟื้น! แล้วโบยต่อไปจนกว่านางจะตาย”
คำสั่งของหยางซานหลาง ทำให้หลายคนรู้สึกเสียใจกับความแล้งน้ำใจของแม่ทัพหนุ่ม หลิวเจินเจินขยับกายหมายปกป้องหรู่อี้ เมื่อบุตรชายกำลังจะกลายเป็นสัตว์ร้ายในสายตาของบริวารภายในจวน
“อำมหิตยิ่งนัก! ใจของท่านทำด้วยอะไรกัน นี่หรือแม่ทัพผู้เกรียงไกร ไยไร้ความเป็นธรรมเช่นนี้ สืบความมิกระจ่าง แต่กลับลงทัณฑ์คนถึงตาย ช่างน่านับถือยิ่งนัก”
ทุกคนหันไปตามเสียงแหบโหยอย่างพร้อมเพียงโดยมิได้นัดหมาย หลี่ถิงมือสั่นน้อย ๆ แต่ยังคุมเสียงให้ไม่สั่นเช่นร่างกาย เพื่อที่จะไม่เผลอแสดงอาการตื่นกลัวให้ใครจับได้ ยังดีที่เธอเคยแสดงหนังแนวย้อนยุค เลยทำให้พอจะตีเนียนพูดตามทุกคนได้บ้าง
“เจ้า! หึ! เป็นอย่างที่ข้าคิดไม่มีผิด เจ้าเสแสร้งเพื่อเรียกร้องความสนใจจริง ๆ ถ้าจะตายจริงคงมิได้มายืนปากกล้าต่อหน้าข้าอยู่เช่นนี้”
หยางซานหลางพูดน้ำเสียงเกรี้ยวกราด พร้อมชี้นิ้วไปยังภรรยาที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยสภาพอ่อนแรงเต็มที แต่ยังคงหลังตรง ยกไหล่เชิดหน้าอย่างสง่างาม สมกับฐานะอยู่นั้นเอง
“แล้วแต่ท่านจะคิด ใครทำอะไรเอาไว้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ” คนอย่าง
หลี่ถิงหรือจะยอมแพ้ กล้าดีอย่างไรมาชี้หน้าเธอ
‘ฉันจะเป็นนางเอกหรือนางร้าย มันก็ขึ้นกับสถานการณ์…’
หลี่ถิงไม่คิดหลบสายตาของอีกฝ่าย เมื่อถูกมองมาด้วยสายตาแข็งกร้าว ซึ่งเต็มไปด้วยโทสะของสามีในชีวิตใหม่
หลิวเจินเจินรีบก้าวเร็ว ๆ เข้าไปประคองลูกสะใภ้ด้วยกลัวว่านางจะ
ล้มลงบาดเจ็บเพิ่ม มือบางลูบคลำตามใบหน้าขาวซีดของหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
“หลานเอ๋อร์...ลูกแม่ เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ ยังรู้สึกเจ็บปวดตรงไหนบอกแม่มาได้ วันนี้หากใครแตะต้องไป๋หลานก็จงข้ามศพข้าไปก่อน”
หลิวเจินเจินประกาศเปิดศึกกับบุตรชายอย่างชัดเจน จีกวานฮวารู้สึกอิจฉาโม่ไป๋หลานยิ่งนัก ที่มารดาของชายหนุ่มปกป้องญาติผู้พี่ของนางอย่างออกนอกหน้า จนกล้าต่อกรกับชายหนุ่ม
“ท่านแม่ นางคือคนผิดนะขอรับ โม่ไป๋หลาน เจ้าปากกล้าเกินไปแล้ว ข้าคือสามีของเจ้า ไยถึงกล้าต่อคำกับข้า ซ้ำต่อหน้าบ่าวไพร่อีกด้วย”
หยางซานหลางรู้สึกเหมือนถูกมารดาและภรรยารุมกล่าวหาว่าเขาคือคนที่ไร้ซึ่งเหตุผลอยู่กลาย ๆ
“สามีของข้าน่ะหรือ! แน่ใจนะ...ว่าเป็นท่านจริง ๆ หากใช่ ไยจึงปรักปรำภรรยาตนเองเช่นนี้เล่า สงสัยข้าฝันไป ว่าตนเองยังไร้ซึ่งคู่ครอง หรือนี่มิใช่เรื่องจริงกัน อย่างว่าคนใกล้ตาย มักสับสนกับเรื่อง…สามีภรรยาอะไรแบบนี้! ข้าตื่นมาอยู่ในห้องเพียงลำพัง เลยเข้าใจว่ายังไม่มีสามี เพราะมีด้วยหรือที่คนแต่งงานกันแล้ว เมื่อเจ็บป่วยก็ไร้การเหลียวแลกันเช่นนี้”
หลี่ถิงทำตาโต ยกมือข้างที่มิได้ถูกแม่สามีเกาะกุมขึ้นปิดปากตนเอง เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากฮูหยินหยาง นางชอบใจในการกระทำของสะใภ้รักเป็นอย่างมาก ไป๋หลานสมควรลุกขึ้นมารักษาสิทธิ์ในฐานะภรรยาของบุตรชายได้แล้ว
สองสามีภรรยายืนประจันหน้ากัน และมันน่าแปลกมากกว่านั้น คือฮูหยินน้อยของบ้านมิคิดหลบสายตาของท่านแม่ทัพหยางซานหลางเลย
แม้แต่น้อย