บรรพกาลรำลึกรัก
เขาย้อนกลับไปหานาง ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เนื่องจากหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยังไม่สมบูรณ์ เขาละทิ้งหน้าที่ของสามี หน้าที่ของข้ารับใช้มาเกิดในปัจจุบัน แต่ภาพในอดีตตามติดเขาจนทำให้เขาจำต้องค้นหาว่าเพราะอะไร เหตุใดเขาถึงเห็นแต่ภาพของนาง หญิงสาวที่งดงามราวกับนางในวรรณคดี ผู้ที่มีดวงตาแสนเศร้าแต่รอยยิ้มหวานจับหัวใจ นางอยู่ที่ไหน ทำไมเขาจึงเห็นแต่นาง ภาพบ้านเมือง ผู้คนหลากเชื้อชาติ มหานครที่ยิ่งใหญ่อุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง กระบวนเรือเพชรพวงที่อลังการ มีพลัง ผู้คนแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายแปลกตา สามารถสัมผัสได้ถึงความร่มเย็นเป็นสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การละเล่น ประเพณีต่าง ๆ เสียงแซ่ซ้อง การเล่นกลอน เสียงนั้นชัดเจนกึกก้อง นั่นคือที่ไหน เหตุใดเขาจึงต้องฝันเห็นแล้วเหมือนมีเสียงกระซิบบอกให้เขากลับไป กลับไป ทำให้เขาต้องหาความจริงว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังความฝันกับเสียงปลุกเร้าและสายตาของนางนั้น ทำให้เขาต้องหาทางกลับไปช่วยนาง นางเป็นใคร
.
บรรพกาลรำลึกรัก
ยลเสียงเสียงกึกก้อง คละซ้องเสียงขับขาน อึดอึงอันโอฬาร ดุระท้านระเทือนไกล
ยลเรือลอยลำน้ำ ฤจะห้ามระสั่นไหว บุญตาของข้าไทย ระเด่นดังดุกลองรัว
ยลชนคนต่างเชื้อ ฤถามเผือสะเสียงสรวล แลกเปลี่ยนไร้เรรวน ละชนวนละบิดบัง
ยลชนคนเด็กเล็ก ระเด่นเด็กละเล่นดัง รู้เล่นดุจเสียงสังข์ ระเริงร่าฤดีดวง
ยลเกศเกศาสาว สยายยาวสะท้านทรวง ดูเด่นดุจแดนสรวง ฤจะล่วงละล้วงทัย
ยลพักตร์ดูโดดเด่น ดุจจะเห็นสิสร้างสม เอวองค์อนงค์กลม ดุจฤพรหมปั้นแต่งเติม
ยลผิวแลผ้าผ่อน สไบฮ่อนกวัดแกว่งไกว เฉวียงบ่าสุดาลัย ยกหน้าไว้กรุมกรอมดิน
ภาพเห็นเด่นเป็นศรี มิหาญพี่หักจิตลง ชาติภพมิปลดปลง ฤดีหลงละลืมนาง
ชาติภพขอสบน้อง มาดหมายปองอยู่ครองคู่ หทัยรู้ ......คือ จอมนาง
บรรยากาศในงานรื่นเริงผู้คนทั้งสองฟากฝั่งของแม่น้ำสายใหญ่ มีเรือสำเภาเทียบท่าอยู่ริมแม่น้ำ รอบบริเวณมีทั้งคนจีน อินเดีย ฝรั่ง พม่า แขก มีการค้าขายผู้คนพลุกพล่าน อีกทั้งผู้คนยังพูดจาด้วยภาษาสำเนียงที่แปลกหู แม้จะเป็นภาษาพื้น ๆ เหน่อ ๆ แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากนัก
มีการทำมาค้าขายที่แสดงถึงความผูกพันของสายน้ำกับผู้คน เพราะต่างก็ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ เป็นบ้านเรือนแพ และยังมีการค้าขายด้วยเรือ การเดินทางทางน้ำ และทางบกก็มีขบวนเกวียนสินค้าคาราวานของนายฮ้อยที่มาจากหัวเมืองโคราชและพระตะบอง พวกเขาพักค้าขายกันอยู่ที่บ้านศาลาเกวียน ด้านนอกพระนคร
ขบวนเกวียนเมืองพระตะบอง ของพวกเขมรบรรทุก ลูกเร่ว กระวาน ไหม กำยาน ครั่ง ดีบุก หน่อ งา และผ้าปูม แพรญวนทองพรายพลอยแดง ขี้ผึ้งปีกนก ผ้าตาราง ผ้าสายบัวสี่คืบหน้าเกบทอง และผ้าตาบัวปอกตาเลดงา และหนังเนื้อ เอนเนื้อ เนื้อแผ่น ครั่ง ไหม กำยาน ดีบุก หน่องาของป่ามาวางขาย
ในตลาดซึ่งมีสินค้าต่าง ๆ มากมายถูกเลือกหาและแลกเปลี่ยน มีตลาดขนม ตลาดทอง ตลาดอาหารทะเลมาจากชาวเล มีสินค้าของชาวจีน สินค้าของแขกจาม สินค้าของพวกฝรั่ง ที่ต่างพรั่งพรูกันเข้ามาวางขาย อีกทั้งผู้คนทั้งหลายเหล่านั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกตา แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นรอยยิ้มของพวกเขา เพราะฟันของผู้คนทั้งหนุ่มสาว แก่ชราทั้งชายและหญิง ล้วนเป็นสีดำเงาวาว
มีเด็กเล็กไว้จุก ไว้เปีย สวมใส่กำไรมือ กำไรข้อเท้า ที่ทำจากทองคำ ซึ่งแสดงถึงฐานะความเป็นอยู่ของพ่อแม่ เด็กบางคนนุ่งโจงกระเบนซึ่งเป็นผ้าธรรมดาที่ไม่มีราคามากนัก ไม่สวมเสื้อ วิ่งเล่นกันรอบบริเวณกว้าง จากของเล่นที่หาง่าย เช่นกะลาหรือก้านกล้วย
ห่างออกไปเป็นวัดที่มีความสวยงามอย่างมาก พระประธานในโบสถ์รูปแบบเหมือนศิลปะแบบเขมรดูเหลืองอร่ามจากรัศมีของทองคำที่ล้ำค่า บานประตู หน้าต่าง หน้าบันประดับประดาด้วยทองคำผสมผสานการแกะสลักอย่างอ่อนช้อย แสดงถึงภูมิปัญญาและฝีมือของคนที่ออกแบบ
มีแรงงานไพร่ ทาส ใช้ระบบกังหัน ระหัดวิดน้ำและท่ออัดน้ำล้น ผันน้ำจากแม่น้ำลพบุรีริมพระราชวังเข้ามาสู่ถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ 2 จุด แล้วปล่อยน้ำลงในระบบท่อดินเผา ไปสู่ตำหนักต่าง ๆ ในพระราชวัง
มองย้อนกลับมาเมื่อแว่วได้ยินเสียงเหมือนเสียงขับเสภา ผู้คนทั้งหลายก็กรูกันไปหมอบอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำ เพื่อรอชมกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค มีกระบวนเรือเพ็ชรพวง เป็นริ้วกระบวนยิ่งใหญ่ 4 สาย พร้อมริ้วเรือพระที่นั่ง ตรงกลางอีก 1 สาย มีเรือทั้งสิ้นไม่ตำกว่า 100 ลำ หนึ่งในจำนวนนั้นคือเรือศีศะพระครุธพาหนะ อสุราวายุภักษ ศีศะหงษพาหนะ (สุพรรณหงส์) ครุธพาหนะ แก้วจักรมณี สุวรรณจักรรัตนพิมานไชย สุวรรณพิมานไชย สาลิกาล่องลม เอกไชย สินธุประเวศ รัตนพิมานอำมเรศ ฯลฯ
ปางเสด็จประเวศด้าว ชลาลัย ทรงรัตนพิมานชัย กิ่งแก้ว
พรั่งพร้อมพวกพลไกร แหนแห่ เรือกระบวนต้นแพร้ว เพริศพริ้งพายทอง
พระเสด็จโดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย พายอ่อนหยับจับงามงอน
นาวาแน่นเป็นขนัด ล้วนรูปสัตว์แสนยากร เรือริ้วทิวธงสลอน สาครลั่นครั่นครื้นฟอง
เรือครุฑยุดนาคหิ้ว ลิ้วลอยมาพาผันผยอง พลพายกรายพายทอง ร้องโห่เห่โอ้เห่มา
สรมุขมุขสี่ด้าน เพียงพิมานผ่านเมฆา ม่านกรองทองรจนา หลังคาแดงแย่งมังกร
สมรรถชัยไกรกาบแก้ว แสงแวววับจับสาคร เรียบเรียงเคียงคู่จร ดั่งร่อนฟ้ามาแดนดิน
สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม
เรือชัยไวว่องวิ่ง รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม เสียงเส้าเร้าระดม ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน
คชสีห์ที่ผาดเผ่น ดูดังเป็นเห็นขบขัน ราชสีห์ที่ยืนยัน คั่นสองคู่ดูยิ่งยง
เรือม้าหน้ามุ่งน้ำ แล่นเฉื่อยฉ่ำลำระหง เพียงม้าอาชาทรง องค์พระพายผายผันผยอง
เรือสิงห์วิ่งเผ่นโผน โจนตามคลื่นฝืนฝ่าฟอง ดูยิ่งสิงห์ลำพอง เป็นแถวท่องล่องตามกัน
นาคาหน้าดังเป็น ดูเขม้นเห็นขบขัน มังกรถอนพายพัน ทันแข่งหน้าวาสุกรี
เลียงผาง่าเท้าโผน เพียงโจนไปในวารี นาวาหน้าอินทรี มีปีกเหมือนเลื่อนลอยโพยม
ดนตรีมี่อึงอล ก้องกาหลพลแห่โหม โห่ฮึกครึกครื้นโครม โสมนัสชื่นรื่นเริงพล
กรีธาหมู่นาเวศ จากนคเรศโดยสาชล เหิมหื่นชื่นกระมล ยลมัจฉาสารพันมี
(กาพย์เห่เรือโดย เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์)
ภาพและเสียงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ปรากฏชัดขึ้นราวกับได้เห็นด้วยสายตาได้ยินกับหู ทั้งภาพและเสียงสลับผลัดเปลี่ยนราวกับภาพในจอทีวี เมื่อภาพที่เกิดขึ้นจางหายไปภาพใหม่ก็โผล่ขึ้นมาแทน ทั้งที่สถานที่เหล่านั้นไม่ได้อยู่ในที่เดียวกันด้วยซ้ำ
อโยธยาศรีรามเทพนคร ศูนย์กลางแห่งราชอาณาจักรของชาวสยาม จักรวรรดิราชแห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา